|  บทสัมภาษณ์ -พรทิพย์ สาริกบุตรวันที่   25 พค. 2552
 สถานที่ มูลนิธิ14 ตุลา
 ผู้สัมภาษณ์ : นายชัยวัฒน์ ตรีวิทยา
 
 ตามโครงการของมูลนิธิ 14 ตุลา ในการรวบรวมปากคำของคนที่อยู่ในเหตุการณ์ เพื่อจัดทำเป็นฐานข้อมูลเพื่อการศึกษาต่อไป
 
 ผู้สัมภาษณ์  : อยากจะเริ่มที่ประวัติส่วนตัวก่อนเลยนะครับว่าพื้นฐานเป็นอย่างไร เกิดที่ไหน  เมื่อไหร่ ครอบครัวเป็นอย่างไร การศึกษาอย่างนี้นะครับ
 คุณพรทิพย์  :  สวัสดีค่ะดิฉันพรทิพย์  สาริกบุตร ดิฉันเรียนตั้งแต่โรงเรียนราชินี  และก็มาต่อที่โรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย
  และก็มีโอกาสสอบเอ็นถึงสามครั้ง ครั้งสุดท้ายก็ไปติดที่คณะวารสารศาสตร์  มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์  พอเหตุการณ์ 14  ตุลา 16  ดิฉันก็ศึกษาอยู่เป็นปีสุดท้าย   ปีที่ 4 พอดี   ครอบครัวของดิฉันมีพี่น้อง 2 คน  มีคุณพ่อ คุณแม่ พี่ชายและก็ดิฉัน  ก็ดีใจที่ได้มาเรียนธรรมศาสตร์ พอเหตุการณ์ 14  ตุลา 2516 ที่เกิดขึ้น  เหตุการณ์นี้เป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ดิฉันจบการศึกษาได้  เพราะว่าเช้าวันที่ 14 ตุลา  ดิฉันจำวันไม่ได้แล้วค่ะ   เราก็มาเอ๊ะตึกเข้าไม่ได้เพราะว่ามีใครไม่ทราบมาหยอดปูนพลาสเตอร์ไว้  ก็ไปรวมตัวกันที่ลานโพธิ์ค่ะ  ที่ลานโพธิ์ก็วุ่นวายไม่ทราบว่าจะมีเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นมาก่อน  ก็เห็นน้องแว่น เสาวนีย์  ลิมมานนท์   เป็นรุ่นน้องนิติศาสตร์   เพราะตอนอยู่วัฒนาวิทยาลัยเคยเป็นหัวหน้าโต๊ะเขานะค่ะ  ทานอาหารด้วยกัน  ก็เห็นน้องแว่น ก็เอ๊ะทำไมวุ่นวาย  สักพักหนึ่งที่เราอยู่กันที่ลานโพธิ์  เขามีอะไรกัน ก็มีท่านๆขึ้นมาพูดกัน   ก็มีคุณจีระนันท์  พิตรปรีชา  มาที่ลานโพธิ์ผลัดกันพูด  เหตุการณ์ไม่สงบนะสิค่ะ  เราก็เข้าห้องเรียนไม่ได้  สักพักก่อนเที่ยงก็คิดว่ากลับบ้านดีกว่า  เอารถมาด้วยเป็นห่วงรถ  ก็เลยรีบกลับ   มันก็ชุลมุนแล้วค่ะตอนนั้นฝั่งสนามหลวง   เพื่อนๆส่วนหนึ่งเขาก็ไม่ยอมกลับ   เขาบอกกลับไปก่อน   เขาก็มารวมตัวกันช่วยทำอาหารเลี้ยงคนที่มาร่วมชุมนุมด้วยกัน  เพื่อนๆเล่าให้ฟัง  ตัวเองนี่ขี้กลัวค่ะ   พอรู้แล้วว่ามีเหตุการณ์สิบสี่ตุลานี้เกิดขึ้น  ก็ตื่นเต้น   อยู่ที่บ้านไม่กล้าออกมาหรอกค่ะ   ขี้ขลาดก็รอฟังผล   ก็ทราบว่าธรรมศาสตร์นี่เป็นที่ซ่องสุมผู้คน  เป็นอุโมงค์ ก็พูดกันไปต่างๆนานา  สำหรับเหตุการณ์สิบสี่ตุลา  ดิฉันคิดว่าดิฉันโชคดีที่จบภายใน 4 ปี   ซึ่งเพื่อนๆนี่หลายคนที่เผชิญชะตากรรม   หลายคนที่ได้เกียรตินิยมในเวลานั้น ก็คิดว่าเหตุการณ์สิบสี่ตุลาเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ดิฉันได้เรียน  จบเพราะอาจารย์ก็เมตตาก็อนุเคราะห์ให้เราผ่านวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในขณะนั้นก็ยากมากค่ะ  เพื่อนๆซ่อมกันเยอะมาก   พอดีมันคาบเส้นนะค่ะ   แล้วคุณพ่อก็ดูดวงชะตาบ้านเมืองเอาไว้   พอดีคุณพ่อของดิฉันเป็นอดีตโหรฯใหญ่   ตอนนี้สิ้นชีพไปแล้วนะค่ะ ชื่ออาจารย์เทพย์  สาริกบุตร   อาจารย์เทพย์ก็เคยดูเหตุการณ์บ้านเมือง   ซึ่งวันนี้เรียนคุณแม่ว่าจะมาคุยกับน้องเรื่องเหตุการณ์สิบสี่ตุลา   คุณแม่เลยบอกว่าให้มาเรียนเสริมว่าคุณพ่อเคยดูเหตุการณ์บ้านเมืองในตอนนั้น  7-8 วันก่อนสิบสี่ตุลา  ว่าเหตุการณ์บ้านเมืองจะมีพลิกผัน มีเปลี่ยนแปลง  ซึ่งนักข่าวบางฉบับตอนนั้นไปลงตีพิมพ์  ทำให้มีหลายๆท่านมาติดต่อสัมภาษณ์คุณพ่อที่บ้าน  แต่คุณพ่อก็ไม่ได้พูดอะไร  เพราะว่าได้พูดไปแล้ว  คุณพ่อท่านบอกว่าท่านจะไม่พูดมากค่ะ  ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่คุณพ่อทำนายทายทักว่า  จะมีความผิดปกติในเรื่องของเหตุการณ์บ้านเมืองของเราในยุคนั้น ผู้สัมภาษณ์  : พี่เกิด พ.ศ. อะไรครับ คุณพรทิพย์  : ดิฉันเกิดปี พ.ศ. 2492 ค่ะ  ปีนี้ก็ 60 พอดี แต่  early มาก่อนค่ะ   รับราชการมา 32 ปีนะค่ะ  ทำงานอยู่สำนักงานคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ  เดิมสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี  แล้วมาสังกัดกระทรวง วิทยาศาสตร์และการพลังงาน  พอต่อมาก็ขึ้นกับกระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม  ก็ปฏิรูปราชการปี 2545 ก็กลายมาเป็นกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  อยู่กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อมมาจนได้ early  ค่ะ ก่อนหนึ่งปีเมื่อกันยายน 2551 ตอนนี้ถ้าอยู่ก็คงจะเกษียณเดือนกันยายน  2552 ค่ะ  ได้เรียนที่ธรรมศาสตร์ค่ะ  เพราะว่าสอบเอ็นฯมา 3  ครั้ง ก็ได้ทุกครั้ง
 ผู้สัมภาษณ์  : เดิมนี่เป็นคนกรุงเทพเลยหรือเปล่าครับ คุณพรทิพย์  : เป็นคนกรุงเทพค่ะ   ดิฉันเป็นคนกรุงเทพแต่กำเนิด
 ผู้สัมภาษณ์  : อยู่แถวไหนครับ คุณพรทิพย์  : เดิมดิฉันอยู่ซอยหลังสวน   และก็ย้ายไปแถวลาดพร้าว และขณะนี้ก็ไปอยู่แถวคู้บอนค่ะ   เพราะว่าชีวิตหลังเกษียณเราไปอยู่ไกลได้เพราะว่าการจราจรมาเป็นปัญหา  เราไม่ต้องไปทำงานตอนเช้า  รถราเราก็ไม่มีเราก็ใช้รถสองแถว  รถแท็กซี่เอา   และก็เป็นความสุขของเรา   ไม่ต้องเครียดตรงการจราจรค่ะ
 ผู้สัมภาษณ์  : เริ่มการศึกษาในวัยประถมศึกษาที่โรงเรียนอะไรครับ คุณพรทิพย์  : เล็กๆก็เรียนที่โรงเรียนราชินีค่ะ   คุณแม่ให้อยู่โรงเรียนประจำค่ะ   อยู่ประจำมาจนถึง มศ. 3 ของดิฉันโรงเรียนราชินีที่เขาเรียกกันว่า  ราชินีปากคลองตลาด หรือราชินีล่าง   บางคนคนก็เรียกเต็มยศเป็นผู้ดีหน่อยก็ราชินีสุนันทาลัย  คือ จะมีราชินีบนคือบางกระบือ  ดิฉันอยู่ราชินีปากคลองตลาดค่ะ  ราชินีล่าง
 ผู้สัมภาษณ์  : เริ่มเรียนตั้งแต่อนุบาลหรือเปล่าครับคุณพรทิพย์  : อนุบาลเริ่มเรียนตั้งแต่ที่อื่นค่ะ   เริ่มเข้าประจำโดยประถมหนึ่ง   คุณแม่ให้อยู่ประจำตั้งแต่ประถมหนึ่งจนถึงมศ. 6 ในสมัยนั้นนะค่ะ  และก็คะแนนไม่ถึงขั้น  เขาต้องให้ถึง 65 เราได้ 62  คุณแม่ก็ไปอ้อนวอน  คุณแม่เป็นศิษย์เก่า  คุณแม่เรียนสมัยแม่คุณแซม ยุรนันท์ นะค่ะ   คุณแม่บอกว่าอาจารย์ไม่ให้เพราะว่าเดี๋ยวจะเป็นตัวอย่าง  ก็เลยไปสอบเข้าวัฒนาวิทยาลัย  ซึ่งเป็นโรงเรียนคริสต์โปแตสแตนท์  ก็สอบได้และไปเป็นบรรยากาศของพวกคริสต์  อยู่จนถึง มศ.5 ค่ะ  สมัยก่อนมีแค่ มศ. 5 สอบตกค่ะ  แต่ไปติด มช.มนุษยศาสตร์ ปรากฏว่าไปสอบบุคคลภายนอกค่ะ  หมายความว่าขณะตก ก็เลือกเอ็นซ์ฯ  และติดเอ็นซ์ฯด้วย แต่ตก มศ.5 ค่ะ  เอ็นซ์ได้แต่เรียนไม่ได้ก็เลยไปสมัครสอบบุคคลภายนอกและก็สอบใหม่ครั้งที่  2   ไปติดคณะอักษรศาสตร์ของมหาวิทยาลัยศิลปากร   ก็ไปเป็นจูเนียร์ของศิลปากร ที่ศิลปากรก็เรียนไม่ไหว  มันยาก ให้อาจารย์เอี่ยม อดีตอธิการมสธ.  ที่สอนฝรั่งเศส   ตอนนั้นท่านเป็นอธิการของมหาวิทยาลัยสุโขทัย  ท่านสอนฝรั่งเศส  และฝรั่งเศสอ่อนค่ะ  เรียนยาก   อักษรศาสตร์นี่ต้องเก่งค่ะแล้วเราก็ไม่เอาไหนเลย
 ผู้สัมภาษณ์  : ปีที่เอ็นซ์ฯเป็นปีแรกจำได้หรือเปล่าครับว่าปีไหนคุณพรทิพย์  : คือตามรุ่นนะค่ะ   พอเรียนจบที่ธรรมศาสตร์ก็ปี 2516 ดิฉันคิดว่าปี 2511  ได้นะค่ะ คือดิฉันก็จำไม่ได้ค่ะ   เพราะว่าเอ็นซ์ฯสามครั้ง   เพื่อนอยู่ปีสาม  ดิฉันอยู่ปีหนึ่ง  ไปที่ธรรมศาสตร์นี่นะค่ะ  เพื่อนอยู่นิติศาสตร์บ้าง อยู่บัญชีบ้าง  รัฐศาสตร์บ้าง ปี 16 นี่ก็คือ  ปีสี่  ทำให้เราได้จบ  เหตุการณ์ตุลาทำให้เราได้เรียนจบ
 ผู้สัมภาษณ์  : ตอนนั้นนี้ก็ 15 นี่คือปีสาม  14 นี่ปีสอง 13 นี่ปีหนึ่ง คุณพรทิพย์  : ก็เอ็นซ์ฯตั้งแต่ 10-11-12 ถูกต้องไหมค่ะ  คือตก มศ. 5 แต่ว่าไปติดเอ็นซ์ที่เชียงใหม่  พอสอบมศ. 5 ได้ก็ไปติดคณะอักษรศาสตร์  มหาวิทยาลัยศิลปากร  ก็ปี 11 พอ 12 ก็โดนทายจากศิลปากร  คือเรียนหนึ่งปีแล้วก็ออก  พอสุดท้ายก็มาสอบวารสารศาสตร์  ที่ธรรมศาสตร์   ก็จำได้ว่า มธ. 5 หรือ มธ.8 นี่นะค่ะ  เรามีวิธีการเรียกที่ง่ายๆ  คือเขาเรียนด้านฝรั่งเศส  แต่ถ้าเป็นนิเทศศาสตร์จุฬา  เขาจะเรียนด้านคณิตศาสตร์   ซึ่งเราอ่อนด้านคณิตศาสตร์   แต่เราเผอิญไปปรับปรุงภาษาฝรั่งเศสให้ดี   ก็เลยได้วารสารศาสตร์ธรรมศาสตร์ค่ะ
 ผู้สัมภาษณ์  : ช่วงในวัยเด็ก ตอนนั้นเรียนโรงเรียนประจำด้วย  ตอนนั้นข่าวสารทั่วๆไป  ข่าวสารบ้านเมือง ได้รับรู้บ้างหรือเปล่าครับ  หรือว่าได้รับรู้ทางไหนคุณพรทิพย์  : อยู่โรงเรียนประจำมันก็ภาษาวัยรุ่น   ก็จะคุย   สมัยนั้นไม่เหมือนสมัยนี้ค่ะ   การมงการเมือง  อินเตอร์เน็ตก็ไม่มี  ก็คุยกันเรื่องสับเพเหระค่ะ
 ผู้สัมภาษณ์  : ยกตัวอย่างได้ไหมครับ คุณพรทิพย์  : ยกตัวอย่าง อย่างเช่นเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์   โรงเรียนราชินีก็จะมีศาลซึ่งเวลาเราจะสอบทีก็จะไปบนบานศาลกล่าวขอให้ฉันสอบผ่านอย่าตก  ก็เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นเรื่องราวสับเพเหระ  ซึ่งก็ไม่ได้มีประโยชน์  บ้านเมืองนี่  เพื่อนๆในยุคนั้นไม่ค่อยมีไอเดีย   แต่ธรรมศาสตร์ก็มีเพื่อนๆที่มีความคิดเยอะเลยค่ะ  ตอนนี้มาเป็นนักข่าว
 ผู้สัมภาษณ์  : แล้วรู้ไหมครับ   อย่างจอมพลสฤษดิ์ปฏิวัติ ปี 02 อะไรอย่างนี้นะครับ คุณพรทิพย์  : รู้แต่ว่า ไม่ได้ฝักใฝ่การเมืองเลย ไม่เอาไหนเลย
 ผู้สัมภาษณ์  : รับข่าวการเมืองมาจากไหนครับคุณพรทิพย์  : ก็คุณพ่อนี่ท่านเป็นโหรฯใหญ่   ท่านก็จะเป็นสมาชิกสภาผู้แทนประเภทสองค่ะ   ท่านมีเพื่อนเป็นนายทหารและก็เป็นท่านที่ดูหมอ  ดูดวงชะตาราศีให้ท่านสฤษดิ์  ตอนนั้นเรายังเด็ก เราไม่ค่อยรับรู้หรอกค่ะ  แต่ทางคุณพ่อก็พูด
 ผู้สัมภาษณ์  : คุณพ่อเป็นโหราจารย์หรือครับ คุณพรทิพย์  : ค่ะ  คุณพ่อเป็นโหราจารย์  ก็เป็นหมอดูนี่แหละ  แขกคนนั้นมา คนนี้มา  นายทหารใหญ่มาพูดคุยการมงการเมือง   เราก็ไม่ค่อยประสีประสากับเรื่องการเมือง   ซึ่งไม่เหมือนสมัยนี้   สมัยนี้ลูกชายเราก็รู้เรื่องแล้ว   แล้วก็มีข่าวสารแต่ละช่องก็ถี่ยิบเลย   ข่าวต้นชั่วโมงอะไรอย่างนี้นะค่ะ ซึ่งไม่เหมือนสมัยก่อนไม่ก้าวหน้า  สมัยนี้จะรู้อะไรเร็ว  วิจารณ์แบ่งพรรคแบ่งพวก   ถ้าเป็นสมัยก่อนยังไม่ค่อยค่ะ   ก็เริ่มตอนปีสี่ บางทีก็ฟังเพื่อนวิจารณ์กันไป  แต่เราก็ไม่ได้ทำอะไร  ซึ่งเราคิดว่าเราซื่อบื้อ  เราไม่ค่อยแม่นการเมือง
 ผู้สัมภาษณ์  : คุณพ่อก็เป็น สส.ด้วยใช่ไหมครับ คุณพรทิพย์  : คุณพ่อก็เป็นสส.ประเภทสองค่ะอยู่ในวงหมอดู  จอมพลสฤษดิ์  ดิฉันยังเก็บรูปที่ท่านใส่ชุดขาว ผูกไทน์  เป็นสส.ประเภทสอง
 ผู้สัมภาษณ์  : ประมาณปีไหนได้ครับ คุณพรทิพย์  : ดิฉันก็ไม่แน่ใจค่ะว่าปีไหน   ลืมดูประวัติท่าน ดิฉันมีหนังสือของท่านด้วย คงประมาณ 2502 ก็คงประมาณนั้นนะค่ะ จริงๆที่ไปเพราะมีพรรคพวกไปค่ะ  จริงๆดิฉันไม่ชอบพวกนี้หรอก  ดิฉันชอบอิสระอยู่กับบ้าน  เรื่องข่าวสารนี่คุณพ่อจะรู้หมด  มีสายสืบค่ะ   ท่านเป็นเหมือนหน่วยสืบลับ   เทียบกับสมัยนี้ก็เหมือนกับหน่วยงานความมั่นคง  จะรู้หมด ใครจะเป็นอะไรท่านก็จะพูด  พอดีท่านมาทานข้าวที่บ้าน  คุณแม่ก็ทำกับข้าว หาอาหารให้ทาน เราก็แผนกเสริฟน้ำ  ก็จะรู้จักข่าวสารบ้านเมืองเมื่อมาคุยกับคุณพ่อ  คุณพ่อก็จะทำนายเหตุการณ์ได้  เพราะว่าท่านมีพรรคพวกหลากหลายสายค่ะ  ตั้งแต่ท่านในวัง  นายแพทย์ก็มี   นายทหารใหญ่ก็มี คุณพ่อจะรู้หมด  แต่เราก็ไม่ค่อยรู้ไม่ค่อยประสีประสา
 ผู้สัมภาษณ์  : โทรทัศน์มีหรือเปล่าครับคุณพรทิพย์  : ก็มีช่อง 9 อสมท.   นี่แหละค่ะ  ช่อง 4 วิทยุเราก็ฟังแค่วิทยุ คุณวุฒิ เวนุจันทร์นะค่ะ  ก็จะมีทหารอากาศที่มาอ่านข่าว
 ผู้สัมภาษณ์  : แสดงว่าชอบฟังข่าวหรือครับ คุณพรทิพย์  : ชอบค่ะ  ชอบฟังข่าว  ตอนนี้ก็ยังเป็นแบบขาดไม่ได้   แม้แต่โทรศัพท์มือถือก็รับข่าว
 ผู้สัมภาษณ์  : แสดงว่าโดยพื้นฐานชอบรับข่าวหรือครับ คุณพรทิพย์  : ค่ะ ชอบมากค่ะ   ตอนที่เป็นพีอาร์นี่เราก็จะขับรถไปรับหนังสือพิมพ์  พอดีมาซื้อขนมให้ลูกภารโรงนะค่ะ ก็จะประมาณว่ามาเอาหนังสือพิมพ์ไปตัดที่บ้าน  คือพอดีเราต้องตัดข่าวสิ่งแวดล้อมนะค่ะ  ตอนนี้ก็มีมติชนที่มีการตัดข่าวขายให้หน่วยราชการ  ซื้อไปเลยเดือนละสี่หมื่น  สามหมื่นอย่างนี้ค่ะ  เป็นคนที่รักข่าวแต่ไม่ค่อยฝักใฝ่การเมือง  เผอิญตัดข่าวที่เกี่ยวข้องและก็ดูอันอื่นด้วย
 
 ผู้สัมภาษณ์  : ดีครับ ไม่ตกข่าว
 คุณพรทิพย์  : ค่ะ  เราไม่ตกข่าว  ใครจะพูดอะไรมาเราก็พอทัน  ถ้าไม่ทันเราก็จะได้รับรู้   แต่พอเอ๊ะทำไมเป็นอย่างนี้เราก็ไปสืบดู   คือความรู้สึกตอน 14 ตุลา 2516 ทุกคนจะมองธรรมศาสตร์เป็นที่ที่ไม่ดีเลยค่ะ
 ผู้สัมภาษณ์  : อันนี้คือก่อนหรือหลังครับ คุณพรทิพย์  : หลังค่ะ เรามีโอกาส   เราก็เข้าไปดูกัน เราเข้าไปแล้วก็ไปซ่องสุมคุยกันที่บ้านเพื่อน  เพราะว่าเพื่อนคนหนึ่งเป็นประชาสัมพันธ์ที่ธรรมศาสตร์   เพื่อนเขาก็บอกว่ามีสันติบาลคนหนึ่งมาคอยตามเขา  เพื่อนดิฉัน   โย่ง ธวัชชัยก็ยังอยู่นะค่ะ  โย่งเขาอายุน้อยกว่าดิฉัน  พอดิฉันเข้าไปในหมู่พวกเขา   เพราะว่าเพื่อนอยู่ปีสามแต่ดิฉันอยู่ปีหนึ่ง  ก็ทันกับน้องๆที่อยู่ปีหนึ่งด้วยกันนะค่ะ  รุ่นนั้นก็มีลูกพลเอกสิทธิ์ เศวตศิลาด้วยค่ะ   เรื่องการเมืองเป็นคนอ่อนไหวไม่ค่อยเกี่ยวข้อง  เพื่อนๆเขาจะมันกว่า แล้วเราจะไปฟังเขาพูด  เพื่อนๆจะคือว่าเรื่องการเมืองไม่ได้  จะมีสปิริต   ไปช่วยทำกับข้าว  บางคนเป็นผู้จัดการพีอาร์รถไฟฟ้าใต้ดินก็มีค่ะ  คุณยุพดี   และก็ พันธ์ทิพย์ ก็ไปอยู่กรมประชาสัมพันธ์  อยู่สำนักข่าว   เพื่อนๆเขาจะเข้มแข็งกว่าเราในเรื่องการเมือง เราก็ฟังเขาคุยกัน เราอ่อนแอ  เราไม่ค่อยรู้เรื่อง
 ผู้สัมภาษณ์  : ตอนอยู่มัธยมศึกษาตอนปลาย ตั้งแต่ประถมหนึ่งถึงม. 3 นี่ก็คืออยู่ประจำตลอดเลยใช่ไหมครับคุณพรทิพย์  : ใช่ค่ะ  ตอนมศ.4-5 ก็เป็นโรงเรียนประจำอีก   โรงเรียนประจำสไตล์คริสต์   ก็ได้อีกสังคมหนึ่ง
 ผู้สัมภาษณ์  : ไม่ได้เดินทางไปกลับที่บ้าน  หรือครับ คุณพรทิพย์  : ไม่ค่ะ  เราไม่มีรถยนต์  คุณแม่มักจะพูดตลกว่าอย่าขึ้นรถเมล์เลย  เดี๋ยวไปเบียดเขา หน้าอกโต  อยู่โรงเรียนประจำไปเหอะ  เดี๋ยววันศุกร์ไปรับกลับรถแท็กซี่  มีคนไปรับ มีบัตรของโรงเรียน  ไม่มีเรื่องของด้านการเมือง ไม่ไหวเลย  อ่อนแอ   ไม่เหมือนเพื่อนๆเขาจะเข้มนะค่ะ   เขาก็คุยกัน ต้องไปร่วมนะ  ลูกศิษย์คุณพ่อเราขาด้วนเลยเพราะว่าต้องไปร่วมเหตุการณ์อย่างนี้นะค่ะ  มีลูกศิษย์คนหนึ่ง คุณพ่อตายไปแล้ว   ขณะที่คุณพ่อมีชีวิตอยู่เขาก็จะพานั่งรถกระบะรถอะไรนี่นะค่ะ  และก็เข็นรถ   พ่อไหว้ครูก็ไป 15 เมษา เขาก็จะมาหาอาจารย์เทพย์นี่ค่ะ  เขาบอกน้องเขาได้เผชิญกับเหตุการณ์ 14 ตุลาจนพิการ   ดิฉันจำชื่อไม่ได้  ต้องไปถามคุณแม่  ยังอยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้มีอยู่คนหนึ่งนะ
 ผู้สัมภาษณ์  : เข้ามหาวิทยาลัยครั้งแรกที่ได้เรียนจริงๆคือศิลปากรหรือครับคุณพรทิพย์  : ค่ะ  ก็ได้ไปอยู่นครปฐม  ประจำอีกแล้วเป็นเด็กหอ
 ผู้สัมภาษณ์  : ไม่ได้อยู่ตรงนี้ใช่ไหมครับ คุณพรทิพย์  : ใช่ค่ะ   มารับน้องใหม่ที่วังท่าพระ   ประจำก็อยู่หอ ไปกินร้านลมโชย   ตอนนั้นการเมืองไม่พูดกัน   กำลังตื่นเต้นกับระบบซีเนียร์
 ผู้สัมภาษณ์  : ระบบโซตัสนี่แรงหรือเปล่าครับ คุณพรทิพย์  : ไม่แรงมากนะค่ะ   พอดีพี่เขาก็บอกว่ารุ่นน้องคนนี้มีแฟนมารับมาส่ง พี่ก็บอกว่ารับหน่อย  ก็ไม่แรงมาก รุ่นพี่เขาก็รุ่นๆเดียวกับเรา  เพราะเราไปเท่ากับเป็นรุ่นเขาแล้วแต่เราเรียนช้า  เขาก็ไปอยู่ปีสองเราอยู่ปีหนึ่ง  ซึ่งจริงๆเราเป็นรุ่นเดียวกัน
 ผู้สัมภาษณ์  : ต้องเรียกว่าพี่หรือเปล่าครับ คุณพรทิพย์  : ต้องเรียกสิค่ะ   โอ้โหเขาดุค่ะ  เขาจะดุ  คือซ้อมเชียร์บอกเวลาก็ต้องไปให้ตรงนะ กลัวค่ะก็ทำตามค่ะ  เขาตะคอกเสียงใส่เราแบบดังมาก  ว้าก มันก็สนุกดีค่ะ   ตอนที่รับก็มารับที่มหาวิทยาลัยศิลปากรที่กรุงเทพและก็จะแต่งตัวตามฟอร์ม  ก็ตัดเนกไทน์ไปให้มันมีอัตลักษณ์ค่ะ  กระโปรงเขียว  ก็มีพิธีใส่บาตร  เราเป็นรุ่นน้องก็สนุกดีนะ  ทำทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดี ไม่มีปัญหาค่ะ
 ผู้สัมภาษณ์  : ปกติคนที่ผ่านขบวนการรับน้องเขาจะผูกพันกับมหาวิทยาลัยมาก  รู้สึกผูกพันไหมครับ คุณพรทิพย์  : มันผูกพันไม่ได้   เพราะเราเรียนอ่อนเพราะเราตกเยอะ   เราก็เฉยๆไม่เสียใจ   รู้ว่าเราโดนทาย  มีเพื่อนราชินีไปอีกคนหนึ่งเขาก็โดนทาย  แต่เราไม่ท้อเราไปสอบอีกครั้งหนึ่ง  ก็มาติดสมใจนึก คือมาติดวารสารศาสตร์ ธรรมศาสตร์
 ผู้สัมภาษณ์  : คืออยากเข้าวารสารศาสตร์มาตั้งนานแล้ว หรือเปล่าครับคุณพรทิพย์  : เปล่าค่ะ ตอนนั้นไม่ค่อยมีใครเลือก   ช่วงนั้นยังไม่มี ตอนนี้คะแนนสูงมาก   ตอนเข้าทำงานนี่ไม่เห็นหัวของคนเรียนวารสารศาสตร์  นิเทศศาสตร์เลยค่ะตอนเข้ารับราชการ อาศัยคุณพ่อมีลูกศิษย์สำนักงบประมาณ  มีคนบอกจบสารสารศาสตร์ต้องมาอยู่กรมประชาสัมพันธ์  จัดรายการก็ทำไปด้วยไม่ชอบเลยค่ะ  พอแก่ๆตัวชอบจัดรายการ  ก่อนจะออกมานี่จัดรายการวิทยุตามสายให้เขาฟัง  คนที่ชอบมีเรื่องมาเล่ามาคุย  เรื่องที่เราไปพบเห็นมา  คุยแบบธรรมชาติ  คนก็ชอบ เปิดเพลงไป
 ผู้สัมภาษณ์  : อันนี้คืออยู่ในกระทรวงใช่ไหมครับ คุณพรทิพย์  : ค่ะ กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม   มีเครื่องไม้เครื่องมือเสร็จนะค่ะ
 ผู้สัมภาษณ์  : เป็นวิทยุหรือเสียงตามสายอย่างไรครับคุณพรทิพย์  : ไม่ใช่หรอกครับ  เป็นที่ประกาศ ว่าเกิดเหตุการณ์ฉับพลัน  ไฟไหม้ หรือลิฟท์ติดอะไรนี่นะค่ะ   มีเครื่องมืออยู่แล้วเราใช้ให้เป็นประโยชน์เป็นเสียงตามสายนี่ค่ะ  คือเวลาเราเดินไปไหน  เขาก็จะอ๋อคนนี้ใช่ไหมค่ะที่จัดรายการ เราก็จะถามว่าผิดหวังหรือเปล่าค่ะ  คนจัดรายการแก่  ผิดหวังหรือเปล่า  เขาก็จะจำได้ก็จะผูกพันกัน  ชอบจัดรายการ   ฟังคุณจัดทุกวัน วันไหนขาดคนจัดนี้ก็จะเหงาๆ  ถ้าจัดบ่อยๆมันก็จะชินหู  อยากให้มาจัดบ่อยๆ   แต่ก็มีภาระกิจดูแลคุณแม่ที่ป่วยก็เลยไม่ได้จัดค่ะ  และก็มีน้องเขาจบปริญญาโท  วารสารศาสตร์ก็ให้เขาทำอยู่  แต่เขาจะวิชาการเกินไป   เราก็บอกให้เขาพูดกันเองกับท่านผู้ฟัง   สบายๆอย่าเกร็งอย่าเครียดให้คนฟังเขามีความสุข  เขาจบปริญญาโทเรียนมากกว่าเรา  เราสอบปริญญาโทสามที่ไม่ได้ซักที่หนึ่ง  วารสารเปิดครั้งแรกก็ไปสอบ  ภาษาอังกฤษไม่ดีก็ตก  นิเทศศาสตร์ไปติวก็สอบไม่ได้ แล้วก็ไปสอบเกษตรแต่ก็ไม่ได้  คือไม่ได้อยู่เฉยค่ะ ไปสอบแต่ไม่ได้  ก็ไม่เอา  มีโอกาสอยากเรียนเพราะเราไม่แก่ที่จะเรียน   ก็สอบแต่ไม่ได้ค่ะ
 ผู้สัมภาษณ์  : ทีนี้เรียนที่ศิลปากรได้หนึ่งปี แล้วก็ตอนที่เข้าเรียนที่วารสารศาสตร์  ธรรมศาสตร์ พี่ทำอะไรบ้างครับ คุณพรทิพย์  : ไม่ค่อยทำกิจกรรมเลยค่ะ   เพื่อนๆเขาจะทำกิจกรรมเยอะ   ค่ายอะไรของเขา คือตัวเองก็ไม่ค่อยรู้หรอกค่ะ  ไม่ค่อยทำกิจกรรม ช่วงนั้นมีแฟนแล้วค่ะ  แฟนเรียนมหิดล  เพื่อนก็บอกอ้วนนี่เขามีแฟนมารับมาส่ง   ก็ไม่ดีเท่าไหร่ค่ะ   ไม่ประสบผลสำเร็จ
 ผู้สัมภาษณ์  : แฟนเรียนที่ไหนครับ มหิดลที่นี่หรือที่ศาลายาครับคุณพรทิพย์  : แฟนเรียนสาธารณสุข   ตอนนั้นยังไม่มีศาลายาค่ะ     เขาเรียนพวกอาชีวะอนามัย   ก็ทำให้เขาตก ไปรับส่งกัน เขาเลยไม่ได้เป็นหมอ  ก็ fell ค่ะ  ชีวิตสมรสก็หย่ากัน เพราะว่าแฟนเขาก็มีแฟน  เราก็อยู่กับแม่เราชีวิตสมรสไม่ดี   ตอนนั้นเรื่องงานก็โอเค ทำงานมีความสุข
 
 ผู้สัมภาษณ์  : ช่วงที่เข้ามาเพื่อนเขาทำกิจกรรมกัน   เราก็ไม่ได้ทำกับเขาหรือครับ
 คุณพรทิพย์  : แม้แต่ฝึกงานเพื่อนเขาไป   ดิฉันไม่ไปคนเดียว  บางกอกโพสต์  เดลินิวส์  มีหลักสูตรค่ะ  ดิฉันผ่านมาได้อย่างไรก็ไม่รู้  ทุกคนผ่านการฝึกงานหมด  ก็งงแล้วคุณเป็นใครค่ะ  แล้วเราก็จบมาได้ หรือเพื่อนๆช่วยก็ไม่รู้  โชคดีได้เพื่อนดีไงค่ะ  เพื่อนเขาก็ช่วยเรา  เวลาเราไม่ทราบอะไรเขาก็จะติวให้เรา  เราจะท่องมาให้ดีแล้วก่อนเข้าห้องสอบเขาก็จะติวให้เรา  ไม่ต้องมานั่งดูแล้ว  เขามานั่งพูดแล้วเราก็ฟัง  แล้วเราก็เอาช่วงเวลาที่ทำวิชาการมาดูมาอ่าน  เป็นหนังสือประกอบ   คือเราจะเรียนไม่เก่งไงค่ะ เพื่อนๆเขาจะเรียนเก่ง  เรียนเกียรตินิยม  เรามันหัวขี้เลื่อย
 ผู้สัมภาษณ์  : ใช้เวลาอยู่กับแฟน แล้วมาใช้เวลาอยู่กับเพื่อนหรือครับคุณพรทิพย์  : ค่ะ บางทีแฟนเขาก็จะมาอยู่กับเพื่อนด้วย   เวลาไปเที่ยวต่างจังหวัด   แฟนก็ขับรถ
 ผู้สัมภาษณ์  : แล้วตอนนั้นไปทำอะไรกันบ้างครับ   อย่างเช่นไปดูหนัง ไปอะไรทำนองนี้นะครับ คุณพรทิพย์  : ส่วนมากก็จะไปอยุธยาค่ะ  ไปไหว้พระ  ไปบางปะอิน ไปดูวังอะไรทำนองนี้   ที่บางปะอินจะมีรูปเก่าๆ   ไม่ค่อยมีกิจกรรมสังคม   แฟนขับรถแล้วเพื่อนๆก็นั่งกันไป อาจจะไปกันคันสองคัน  ไปใกล้ๆนะค่ะคือไม่ได้ไปไหน
 ผู้สัมภาษณ์  : อย่างไปดูหนัง ไปเที่ยวห้างสรรพสินค้า   สมัยก่อนมีบ้างหรือเปล่าครับ คุณพรทิพย์  : น้อยค่ะ   ส่วนมากจะเป็นลักษณะเพื่อนพาไปกินข้าวฉะเชิงเทราบ้างอะไรบ้าง  จะเป็นลักษณะแบบนั้น   แล้วส่งตัวแทนเรียน   ส่งโย่งค่ะเพื่อนที่เป็นประชาสัมพันธ์ธรรมศาสตร์  โย่งจะเรียนแทนพวกเรา
 ผู้สัมภาษณ์  : ที่ไปนี่ไม่ใช่เสาร์ อาทิตย์หรือครับคุณพรทิพย์  : ค่ะ ที่ไปนี่คือโดดเรียน มีความสุขมาก   เบื่อท่าพระจันทร์แล้ว   เพื่อนมีรถครั้งแรก เพื่อนเป็นเจ้าของโรงเลื่อย  เขาก็มีความสุขนะค่ะ  ก็นั่งกันไป   รถคันเล็กไม่รู้นั่งกันได้ไง สมัยก่อน
 ผู้สัมภาษณ์  : เป็นรถอะไรหรือครับ คุณพรทิพย์  : รถมันสิ้นยี่ห้อไปแล้วนะค่ะ   คันเล็กนิดเดียว   นั่งกันไปได้อย่างไรก็ไม่รู้   บางทีเพื่อนอีกคนก็เอาไปอีกคันหนึ่ง บางทีเพื่อนขับไม่ไหวเขาก็ให้เพื่อนอีกคนขับ  ก็เบียดกันไป ส่วนมากไปต่างจังหวัด  ในช่วงเรียนนี่พ่อแม่ไม่ทราบ
 ผู้สัมภาษณ์  : แสดงว่าชีวิตก่อนสิบสี่ตุลานี่ก็จะใช้ชีวิตแบบนี้เป็นหลัก คุณพรทิพย์  : ใช่ค่ะ  ห้องสมุดก็มี  ถ้าอาจารย์ให้งานไป แบ่งงานกัน  ถ้าแล็กเชอร์บางทีฝากเพื่อนเรียนและก็มาขอจดต่อ  ส่วนใหญ่จะเข้าเรียนค่ะ  นานๆถึงจะโดด นานๆทีไม่ได้ไปทุกวัน  ฉะเชิงเทราใกล้ที่สุด  กุ้งเต้น   ปทุมธานี ค่ะก็จะใกล้ๆ
 ผู้สัมภาษณ์  : ในระหว่างนี้เขาจะมีนักศึกษาส่วนหนึ่งที่ออกมาเริ่มรณรงค์อย่างเช่น  รณรงค์ต่อต้านสินค้าญี่ปุ่น  ได้รับรู้ไหมครับคุณพรทิพย์  : ทราบค่ะ ก็สมัยคุณธีรยุทธ์นะค่ะที่เดินมาดู
 ผู้สัมภาษณ์  : ทราบจากไหนครับ                                                                                                     คุณพรทิพย์  : เห็นจริงๆก็เห็น   ในข่าวก็เห็น  ตอนนั้นเราต้องทำหนังสือพิมพ์ด้วยนะค่ะ  เราต้องออกไปสัมภาษณ์  ทำเป็นกลุ่ม ชื่อหนังสือพิมพ์มหาวิทยาลัย  แต่เราไม่มีความสามารถค่ะ เพื่อนๆเก่ง  เพื่อนถึงได้เกียรตินิยมไงค่ะ
 ผู้สัมภาษณ์  : หมายถึงว่าเป็นของคณะหรือว่าอย่างไรครับ คุณพรทิพย์  : เป็นของคณะค่ะ  ปีไหนดิฉันจำไม่ได้แล้ว  ก็ผลัดกลุ่มกันทำนะค่ะ  ต้องสัมภาษณ์ไปอะไร  มีอาจารย์เป็นพี่เลี้ยง   พิมพ์ที่โรงพิมพ์ธรรมศาสตร์   ส่วนตัวอ้วนไม่เอาไหนเลยค่ะ   อาศัยเพื่อน เป็นผู้หญิงที่ไม่เอาไหนเลย  เพื่อนเขาเก่งเขาจะมีเรื่องการเมือง   จนถึงเข้ากรมประชาสัมพันธ์ได้เลย   เพราะเพื่อนเขาอยู่สำนักข่าวคนหนึ่งนะค่ะ   แต่ตัวอ้วนอยู่สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย  เพราะว่ามีเส้นสาย เจ้านายจากสำนักงบประมาณเขาฝากให้
 ผู้สัมภาษณ์  : ก็แสดงว่าข่าวในเรื่องของเหตุการณ์สิบสี่ตุลานี่  ก็จะรับรู้ส่วนหนึ่งด้วยตัวเองหรือครับคุณพรทิพย์  : พอดีตัวเองอยู่ธรรมศาสตร์ และก็ถามเพื่อนที่อยู่ประชาสัมพันธ์ที่ธรรมศาสตร์  เขาก็จะเล่าให้ฟัง  บางทีพวกการเมืองอย่าพูดนะ
 ผู้สัมภาษณ์  : หนังสือพิมพ์มหาวิทยาลัย ส่วนใหญ่จะมีข่าวอะไรบ้างครับ คุณพรทิพย์  : จำไม่ได้นะค่ะ  ถ้าเป็นตัวเอง clipping  ก็จะทราบ  ในส่วนงานที่เรารับผิดชอบ   งานที่เราทำที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมในตอนนั้น   ส่วนมากเพื่อนๆเขาจะมีความคิดเห็นเรื่องการเมืองมากกว่าเรา  ก็ฟังเขาคุย   บางทีเราก็ไม่ค่อยออกความเห็น เราไม่รู้จะออกความเห็นอะไรในบางครั้ง
  ผู้สัมภาษณ์  : แล้วกับแฟนนี่คุยเรื่องนี้กันบ้างหรือเปล่าครับ คุณพรทิพย์  : ไม่คุย    แฟนเขาก็เรียนอยู่ที่มหิดลนะ เราก็ไม่รู้เหมือนกัน  บางทีนั่งกินข้าวด้วยกัน   เราก็เห็นเขาเฉยๆนะค่ะ   หรือจะมีก็จำไม่ได้ค่ะ   เวลาคุยกันเราจะไปบ้านเพื่อน ไปนั่งคุยกันเพราะว่าเรากลัวว่าเพื่อนจะโดนสันติบาลตาม  เผอิญเพื่อนเขาเป็นประชาสัมพันธ์ที่ธรรมศาสตร์  เขาจะคอยดูแล เขาอยู่ อมธ.   คุณธวัชชัยเป็นประชาสัมพันธ์ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์นะค่ะ  ตอนนี้เขาใกล้เกษียณแล้ว เพราะดิฉันก็อายุ 60 แล้ว  ก็อยู่ธรรมศาสตร์  พอเรียนจบเขาก็ทำงานที่ธรรมศาสตร์เลย  เพื่อนที่ระวังตัวเขาก็จะเล่าว่าเห็นเหตุการณ์ ที่ตึกในธรรมศาสตร์แต่อ้วนจำไม่ได้  เพื่อนเขาจะคุยกันมากเรื่องการเมือง  เขาจะคุยกันมันเลยละค่ะ  เราก็ได้แต่ฟัง เราก็ตื่นเต้น  เข้าไปดูซิหลังจากเขาเคลียพื้นที่แล้ว  ใครเป็นอะไรบ้างในธรรมศาสตร์ เราก็เห็นรอยควัน  รอยอะไร ควันไฟ   เขาก็จะพูดภาพพจน์นี่จะเสียหมดค่ะ   มีอะไรอยู่ในหลุม มีอะไรอยู่ใต้ห้องประชุม   หอประชุมใหญ่เรา   หาว่าเดี๋ยวจะกดระเบิดได้    ก็จะพูดในทางไม่ดี
 ผู้สัมภาษณ์  : วันที่ 14 เป็นสอบใช่ไหมครับ คุณพรทิพย์  : ใช่ค่ะ  วันนั้นจำได้เป็นวันสอบวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของอาจารย์มณีมัย  นี่ละค่ะ  แต่ตอนนี้ไม่ทราบเหมือนกันว่าท่านอายุเท่าไหร่แล้ว   ท่านก็เมตตา
 ผู้สัมภาษณ์  : สอบเช้าหรือครับ คุณพรทิพย์  : ไม่แน่ใจ เพราะเข้าห้องสอบไม่ได้    มันสอบไปแล้วหนึ่งวัน  สอบ 12  หรือ 13 นี่นะค่ะ
 ผู้สัมภาษณ์  : เอาปูนพลาสเตอร์ไปทำอย่างไรครับ คุณพรทิพย์  : ก็ไม่แน่ใจแต่เพื่อนบอกว่าเขาเอาปูนพลาสเตอร์ไปหยอดรูกุญแจ  ตึกมันไม่สวยเหมือนสมัยนี้หรอก  ตึกเราโทรม   เมื่อก่อนเป็นแผนกหนึ่ง   เขาเอาไปหยอดไว้ในรูที่ไขกุญแจ   กุญแจก็ไม่สามารถจะไขเข้าไปได้   คือทำวิธีการที่ว่ากุญแจไขไม่ได้   เข้าตึกไม่ได้ก็เดินตามกันไปที่ลานโพธิ์
 ผู้สัมภาษณ์  : เขาไม่ได้เอาอะไรมาตัดหรือครับคุณพรทิพย์  : ไม่ค่ะ  ทำแค่เอาปูนพลาสเตอร์หยอด
 ผู้สัมภาษณ์  : หมายถึงว่าส่วนหนึ่งก็ไม่อยากสอบกันอยู่แล้วหรือเปล่า คุณพรทิพย์  : ก็ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ   อ้วนก็ไม่ทราบว่าวันนั้นสอบอะไรแต่ว่าอ้วนสอบเสร็จแล้ว  หรือว่ายังไม่สอบ  หรือว่าเหลือวิชาเดียว อ้วนก็ยังจำไม่ได้   พอเกิดเหตุการณ์นี้ก็ให้กลับไปก่อนแล้วพอสงบก็ให้กลับมาสอบใหม่  จำไม่ค่อยได้
 ผู้สัมภาษณ์  : ตอนนั้นพอเข้าไม่ได้   คนเขาอยู่กันเยอะไหมครับ คุณพรทิพย์  : เยอะมากค่ะ   มันจะเยอะมากตรงลานโพธิ์   ทุกคนก็จะเจอกันที่ลานโพธิ์   ไม่รู้เรื่องหรอกว่าเขาทำอะไร   ตอนนั้นวันเรียนไงค่ะ
 ผู้สัมภาษณ์  : แล้วเขามีพูดอะไรกันหรือเปล่าครับ คุณพรทิพย์  : ไม่มีค่ะ ที่เป็นศูนย์กลางก็ตรงลานโพธิ์   เขาจะขึ้นเวที คุณเสกสรร คุณจีระนันท์   หลายคนพูดกันไปที่ลานโพธิ์หน้าคณะเศรษฐศาสตร์นะ
 ผู้สัมภาษณ์  : เราก็จะไปสอบ แต่ว่าไม่ได้สอบหรือครับ คุณพรทิพย์  : ค่ะ ไม่ได้สอบ   ก็รู้แล้วละว่าจะมีเหตุการณ์   คือจะรู้มาบ้าง
 ผู้สัมภาษณ์  : แล้วทำไงต่อครับพอไม่ได้สอบแล้วคุณพรทิพย์  : ก็ขับรถกลับบ้านสิค่ะ   มันวุ่นวาย  พ่อแม่ก็เป็นห่วง  สมัยนั้นไม่มีมือถือเหมือนตอนนี้
 ผู้สัมภาษณ์  : ตอนนั้นมีรถใช้แล้วหรือครับ คุณพรทิพย์  : ค่ะ มีรถยนต์ค่ะ   แต่เพื่อนอีกคนไม่มี   แต่ส่วนใหญ่ก็มีรถ   และก็กลับเลย  ตึกเข้าไม่ได้วันนี้  ไม่เรียน  ก็ขับกลับบ้าน  แต่ตอนนั้นเพื่อนที่ไม่มีรถก็ไม่แน่ใจว่ากลับไปแล้วหรือว่าช่วยทำกับข้าว  เพื่อนเล่ากันนี่  ถึงอยากจะให้เพื่อนเล่าให้ฟังไงค่ะ มีหลายคนค่ะมาช่วยทำกับข้าว  ส่งเสบียง เขาจะมีหน่วยอาหาร
 
 ผู้สัมภาษณ์  : พอกลับไปบ้านแล้วทำอะไรครับ
 คุณพรทิพย์  : ก็คอยฟังข่าว  ตื่นเต้นว่าจะมีอะไร
 ผู้สัมภาษณ์  : ตอนนั้นฟังข่าวจากไหนครับแล้วเป็นอย่างไรบ้างครับคุณพรทิพย์  : โทรทัศน์ค่ะ  ตอนนั้นมีแล้ว  มันก็น่ากลัวค่ะ  สมัยนั้นเราจะให้ท่านถนอม  ท่านณรงค์ลูกชายท่านที่เรากล่าวหาว่าท่านเอาคอปเตอร์มายิงทำร้ายพวกเรา  จริงหรือเปล่าก็ไม่รู้นะค่ะ  ว่าท่านณรงค์   กิตติขจรเป็นคนบงการให้ยิงลงมาที่ผู้ชุมนุม  อ้วนก็รู้แต่ว่าไม่ได้จริงจัง  ในธรรมศาสตร์นี่ศพเกลื่อนเลย
 ผู้สัมภาษณ์  : แล้วภาพในทีวีเป็นอย่างไรบ้างครับ   มีคนเจ็บคนตาย อย่างไรบ้าง คุณพรทิพย์  : ภาพตอนนั้น เท่าที่เห็นก็เห็นมันน่ากลัวนะช่วงนั้น
 ผู้สัมภาษณ์  : ตอนนั้นคุณพ่อยังอยู่ใช่ไหมครับ คุณพรทิพย์  : ยังอยู่ค่ะ  คุณพ่อก็คุยกับพวกท่านนายทหาร  พรรคพวกท่าน  ลูกศิษย์ท่านเยอะไงค่ะ  ลูกศิษย์ท่านหลากหลาย   โดยเฉพาะท่านนายทหารที่เป็นแบบความมั่นคงภายในนะค่ะ  ท่านจะวิจารณ์
 ผู้สัมภาษณ์  : มีคนมาขอคำชี้แนะอะไรทำนองนี้บ้างหรือเปล่าครับ คุณพรทิพย์  : ก็มี  คุณพ่อเคยพูดว่าจะเกิดความไม่สงบ   เกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านการเมืองการปกครอง   ซึ่งท่านดูไว้ก่อนสิบสี่ตุลาแล้วเหตุการณ์ก็เกิดจริงอย่างที่ท่านทำนายไว้  เมื่อเช้าคุณแม่พูดบอกก็เลยมาเรียนให้น้องทราบ   คุณพ่อเคยดูไว้แต่เสียดายไม่ได้เก็บหนังสือพิมพ์ฉบับช่วงนั้นไว้  สื่อมวลชนเขาก็สนใจนะค่ะว่าอาจารย์เทพย์  สาริกบุตร ท่านเคยทำนายทายทักไว้  ในเรื่องบ้านเมืองของเรา   แต่สมัยนั้นหมอดูไม่ได้มีอิทธิพลเหมือนสมัยนี้  เดี๋ยวนี้มีเยอะมีหลายสำนักด้วย  คนก็นิยมกัน
 ผู้สัมภาษณ์  : ไม่ได้รับถ่ายทอดวิชามาเลยหรือครับคุณพรทิพย์  : ไม่ค่ะ  ก็เสียดายค่ะ เพราะว่าคุณพ่อเขาจะอยู่สอนวันเสาร์จะมีทีมงานมา  คุณแม่ก็จะทำอาหารมาให้ทาน  จะมีท่านดอกเตอร์ที่เป็นศิษย์ประจำ  ก็มีพี่คนหนึ่ง
 ผู้สัมภาษณ์  : มาเรียนหรือมาทำอะไรครับ คุณพรทิพย์  : มาเรียนค่ะ  มาแชร์ไอเดีย   ซึ่งคุณพ่อมีลูกชายตอนนั้นอยู่สำนักงบฯและก็มีเพื่อนคนหนึ่งตอนนั้นอยู่ที่สำนักงบฯ  เป็นเพื่อนกับลูกคุณพ่อ  คุณพ่อจะมีภรรยาแรกและก็มีลูกสามคน  ลูกชายก็เป็นราชการ คนหนึ่งอยู่สำนักงบฯและก็พาท่านดอกเตอร์โกร่งมา คุณพ่อก็ชอบ  ชอบคุยกับพวกดอกเตอร์ค่ะ  ก็มีคุณหมอ  ตอนนี้ก็สิ้นไปหมดแล้ว  มีคุณหมอที่มีภรรยาเป็นนางสนองพระโอษฐ์มาบ่อยที่สุด  คุณพ่อจะเป็นที่รวมค่ะ  ลูกศิษย์ท่านเยอะค่ะ
 ผู้สัมภาษณ์  : วันที่ 14 กลับมาดูทีวีอยู่บ้าน  ดูกับคุณพ่อหรือว่าดูคนเดียวครับ คุณพรทิพย์  : ส่วนมากทีวีก็จะอยู่ตรงกลางนะค่ะ   ซึ่งเราไม่ได้สนใจและไม่เอาไหนเลยเรื่องการบ้านการเมือง
 ผู้สัมภาษณ์  : คิดว่าถ้าดูกับคุณพ่อ   คุณพ่อจะวิจารณ์ให้ฟัง อย่างนี้ครับคุณพรทิพย์  : คุณพ่อจะพูดเก่งนะค่ะ   เพราะว่าคุณพ่อจะมีแขกมาเยอะ   วันหนึ่งหัวกระไดบ้านไม่แห้งหรอกค่ะ   คนมาคุยเยอะแขกท่านเยอะ  ท่านสมัครยังเคยไปเลย  คุณสมัครจะเป็นนายก  พ่อบอกว่าดวงจะเป็นนายกรัฐมนตรีนะ  ท่านสมัครยังบอกเลยว่าอาจารย์เทพย์เคยทำนายไว้  ก็ยังดีนะค่ะที่ยังนึกถึงคุณพ่อ  ช่วงนั้นท่านเป็นผู้ว่า กทม.  ก่อนแล้วอยู่ๆก็เป็นนายกแป็บหนึ่งใช่ไหมค่ะ   คุณพ่อจะเป็นที่รวมของข่าวเรื่องการเมือง   คุณพ่อจะมีความคิด มากกว่าเรา   ฟังจากลูกศิษย์ลูกหา  ผู้ชำนาญต่างๆหลากหลายสาขา  บ้านเราเป็นที่รวมเรื่องการเมืองนะค่ะ  แต่เราไม่เอาไหนเราไม่สนใจ  คงเป็นเพราะมีแฟนมีอะไรทำนองนี้นะค่ะ  ก็เลยไม่สนใจ ถ้าเราสนใจหน่อยก็คงจะเข้มแข็งเรื่องการเมืองมากกว่านี้
 ผู้สัมภาษณ์  : ก็คือพอเหตุการณ์วันที่สิบสี่พี่ก็กลับบ้านแล้วก็ตามข่าว   แล้วพอเย็นวันนั้นนี่เหตุการณ์สงบก็กลับไปธรรมศาสตร์ หรือครับคุณพรทิพย์  : วันสองวันก็จำไม่ได้แล้วนะค่ะว่าไปกันตอนไหน  ไปนัดเจอกับเพื่อนๆ  เราก็กลับไปดูว่ามหาวิทยาลัยเราเป็นอย่างไรบ้าง   เราก็ไม่เห็นกลัวอะไรเลย
 ผู้สัมภาษณ์  : ตอนนั้นสภาพมหาวิทยาลัยเป็นอย่างไรบ้างครับ คุณพรทิพย์  : มันก็ไม่สวยค่ะ   มันก็ไม่เหมือนเดิม  จะมีตรงนั้นตรงนี้พัง  ไปดูกันคิดว่าจะเจออะไรก็ไม่รู้  คิดว่าเป็นคำร่ำลือนะค่ะ  เราก็ผ่านๆเข้าไปดูให้ลึกซึ้ง
 ผู้สัมภาษณ์  : ไปกันเยอะไหมครับ คุณพรทิพย์  : เพื่อนๆเราประมาณ 7-8 คน  ที่เรียนด้วยกันและก็รักกัน
 ผู้สัมภาษณ์  : หลังจากนั้นก็สอบจนเสร็จหรือเปล่าครับคุณพรทิพย์  : รับปริญญา  ตอนนั้นเราจบแล้วค่ะ
 ผู้สัมภาษณ์  : มันต้องมีเทอมสองหรือเปล่าครับ คุณพรทิพย์  : ไม่แน่ใจ   ตอนนั้นอยู่ในเทอมไหนก็ไม่รู้
 ผู้สัมภาษณ์  : เพราะว่าสิบสี่ตุลามันน่าจะเป็นปลายๆเทอมหนึ่งอะไรอย่างนี้นะครับคุณพรทิพย์  : จำไม่ได้แล้วค่ะ   จบแล้วเราก็ไม่เคยไปสัมผัสอีกเลย จบแล้วนะค่ะ  แต่ไม่ได้เข้าไปอีกเลย  สอบเสร็จแล้วก็เหลือคนที่ซ่อมเพื่อที่จะรับปริญญาด้วยกัน
 ผู้สัมภาษณ์  : พอจบเหตุการณ์ก็เรียนจบพอดี แล้วหลังจากนั้นไปทำงานอะไรครับคุณพรทิพย์  : ตอนนั้นแต่งงานก่อนค่ะ   ลูกศิษย์ท่านอยู่สำนักงบประมาณ   ท่านก็พาเราไปฝากไว้ที่กรมประชาสัมพันธ์   เรียนจบแล้วก็แต่งงานเลย   ตอนนั้นกรมประชาสัมพันธ์ยังไม่โดนทำลาย   สิบสี่ตุลายังคงอยู่เหมือนเดิม   ทำงานที่นั่นก่อน
 ผู้สัมภาษณ์  : ยังอยู่อีกหรือครับ คุณพรทิพย์  : ยังอยู่ค่ะ สมัยคุณสุจินดามั้งค่ะ   ดิฉันก็จำไม่ได้ค่ะ  ดิฉันจะรู้เฉพาะตอนเหตุการณ์  14 ตุลา 2516   อ้วนก็ทำงานตึกนั้นละค่ะ   ตึกที่ตอนนี้เป็นที่ออกล๊อตเตอรี่นะค่ะ   ตอนนั้นยังสวยงาม ยังโบราณอยู่   มีนาฬิกา ตรงข้ามกับโรงแรมรัตนโกสินทร์   เราทำงานตึกนั้นชั้น 3 นะค่ะ เป็นตึกโบราณ  ยังอยู่ใกล้ธรรมศาสตร์อยู่   คุณพ่อท่านก็ฝากให้ตอนอยู่สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย  จำได้ว่าไปสัมภาษณ์คุณหมอที่กระทรวงสาธารณสุข  ก็ยังอยู่ที่นั่น  เพื่อนๆเขาก็ย้ายไปอยู่ที่วิภาวดี  หลังจากที่โดนทำร้ายพร้อมกรมสรรพากร  ที่โดนเผานะ ตอนนั้นโดนเผาหรือยังก็ไม่รู้  กองสลากด้วยค่ะ   กองสลากก็มีสำนักงานใหญ่ของเขา   ก็จะอยู่ติดกับกรมสรรพากรเลยค่ะ  กรมสรรพากรตอนนี้ก็ไปอยู่ในเขตกรมประชาสัมพัธ์และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  ที่อยู่ซอยอารีย์ เช่นกัน
 ผู้สัมภาษณ์  : พอหลังเหตุการณ์ข่าวสารที่ได้รับที่บอกว่าไม่ค่อยดีเลย  เป็นอย่างไรบ้างครับคุณพรทิพย์  : ก็เรียกว่า เหมือนเราเป็นที่ซ่องสุม
 ผู้สัมภาษณ์  : ตอนนั้นจบแล้ว แล้วเราได้ยินข่าวทางทีวีหรือครับ คุณพรทิพย์  : จบแล้วค่ะ แต่ว่าเราก็ต้องถามเพื่อน   เขาทำงานอยู่ที่ธรรมศาสตร์ เขาจะพูดให้เราฟัง  เจอกันบ่อยกับโย่ง ธวัชชัย ก็ไม่มีอะไรก็แฮปปี้ดีค่ะ  ตึกอะไรก็สร้างใหม่ ก็ดีในตอนหลังธรรมศาสตร์ก็ไม่มีอะไร  แต่ตอนเหตุการณ์สิบสี่ตุลามันดูน่ากลัว   มีคอปเตอร์ลงมายิงแต่เราไม่เห็นเหตุการณ์หรอกได้ยินจากข่าว
 ผู้สัมภาษณ์  : แล้วพอจะทราบหรือเปล่าครับ  พอหลังจากเหตุการณ์ก็มีชาวบ้านจากต่างจังหวัดมาร้อง  เหมือนกับธรรมศาสตร์เป็นที่ว่าการอำเภอ  มีชาวบ้านมาร้องให้นักศึกษา  เคยได้ยินข่าวสารนี้บ้างหรือเปล่าครับคุณพรทิพย์  : อาจจะเคยแต่ว่าจำไม่ได้ค่ะ   แต่ว่าตอนที่เราทำงานแล้ว   เราก็ยังมีไปใช้หอประชุมที่ธรรมศาสตร์   หอประชุมใหญ่บ้างหอประชุมเล็กบ้าง   เคยมาจัดงานของเอ็นจีโอ ที่กรมอ้วนจะมีเอ็นจีโอด้านสิ่งแวดล้อม  ประชุมใหญ่สมัชชาเรื่องสิ่งแวดล้อม
 ผู้สัมภาษณ์  : ปีไหนครับ คุณพรทิพย์  : ปี 38 หรืออะไรนี่ค่ะ  เราก็จะใช้ธรรมศาสตร์ของเราเป็นที่ประชุม  เพราะว่าตอนนั้นยังไม่มีที่ประชุมกรมประชาสัมพันธ์  ยังไม่มีเมืองทอง  ยังไม่มีอิมแพค อารีน่า เมืองทองธานี   ธรรมศาสตร์เราจะเป็นที่ที่ท่านที่จะมาประชุมในจำนวนเยอะ  เราก็จะมีห้องประชุมไว้รองรับ  ก็ดีใจเราเคยเรียนที่นี่   เราเคยมาหอประชุมใหญ่ตอนที่ในหลวงมาทรงดนตรี  และก็ภูมิใจพระองค์ภา  ก็มาเรียนที่คณะนิติศาสตร์ก็เลยภูมิใจใหญ่   ก็โอเคอยู่ในสถานะ สภาพเดิม ก็ขอให้ติดตามข่าวไปเรื่อยๆ  มีห้องประชุมสวยงาม  ท่านอาจารย์ป๋วย  คือไม่ทันรุ่นอาจารย์ป๋วย มีรุ่นพี่ทัน  รุ่นพี่ที่เคยอยู่ที่สิ่งแวดล้อมด้วยกัน  เขาจบจากเศรษฐศาสตร์คนหนึ่ง  จบจากสังคมศาสตร์คนหนึ่ง  แต่สมัยก่อนเขาไม่สอบเข้า  พี่คนนี้เขาก็เข้าเอง  หมายถึงว่าพี่เขาไปทำงานสภาพัฒฯ  แต่พอเป็นสำนักงานสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเขาโอนจากสภาพัฒน์ฯ  มาอยู่กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม   มีพี่ๆ หลายคนที่จบและเป็นศิษย์เก่าธรรมศาสตร์
 ผู้สัมภาษณ์  : ถ้า ณ วันนี้ให้มองย้อนไปถึงเหตุการณ์สิบสี่ตุลา  ภาพที่นึกขึ้นมาได้ทันทีเลยนี่  คือภาพอะไรครับ  เป็นความประทับใจหรือว่าเป็นความรู้สึกที่ว่าพอพูดถึงเหตุการณ์นี้มันจะรู้ทันทีเลยว่ามันต้องเป็นแบบนี้นะครับ  คุณพรทิพย์  : เป็นเพราะเราไม่ได้ร่วมเหตุการณ์เราขับรถกลับนะสิค่ะ   เราจะเห็นเฉพาะตอนที่เขามาประชุมใหญ่กันตรงลานโพธิ์   จะรู้ว่าตึกเราโดนเอาปูนพลาสเตอร์มาหยอดให้ไขกุญแจไม่ได้  ก็ไม่มีใครไปเปิดหรอก เข้าไม่ได้ก็อย่าเข้าสิ  ไม่เห็นมีใครทำอะไรเลย
 ผู้สัมภาษณ์  : ได้ไปฟัง ไปดูบ้างหรือเปล่าครับ คุณพรทิพย์  : ยังไปค่ะ  น้องไปทำปริญญาโท  ยังไปเป็นที่ปรึกษา   ไปเป็นอาจารย์ที่เขาจะต้องไปสัมภาษณ์น้องก่อนจะจบนะค่ะ  มีทั้งอาจารย์ที่เป็นหัวหน้าภาคของเรา  แล้วเราก็ไป  ก็โอ้โหมหาลัยของเรามีห้องเหมือนธนาคารกรุงเทพด้วย น่านั่งจัง  สวยงาม ห้องสมัยเรียนไม่เป็นแบบนี้เลย  เดี๋ยวนี้ทันสมัย  ห้องสมุดก็ทันสมัย  มีอะไรดีกว่าสมัยเรา  สมัยนั้นมันแบบโบราณๆ  ลิฟก็มีน้อยแต่สมัยนี้สวยจัง  มีโอกาสกลับไปอีก
 ผู้สัมภาษณ์  : สมัยนั้นนิสิตนักศึกษาใช้ลิฟได้ไหมครับ คุณพรทิพย์  : ไม่แน่ใจค่ะ   เพราะส่วนใหญ่จะใช้บันได   เราเรียนชั้น 1 ค่ะ และก็ห้องสมุดอยู่ชั้น 2 ห้องน้ำก็มีในชั้น เราไม่ต้องใช้ลิฟค่ะ
 ผู้สัมภาษณ์  : รุ่นผมนี่อาจารย์ใช้ได้   นักศึกษาใช้ไม่ได้
 ผู้สัมภาษณ์  : ก็คือหลังเหตุการณ์ก็ใช้ชีวิตปกติ   แล้วหลังจากนั้นทราบเกี่ยวกับเหตุการณ์หกตุลาหรือเปล่าครับคุณพรทิพย์  : ก็เฉยๆค่ะ  หกตุลาปีไหนค่ะ
 
 ผู้สัมภาษณ์  : 6 ตุลา 19 ครับ ปีที่มีการล้อมฆ่านักศึกษาในธรรมศาสตร์
 คุณพรทิพย์  : ตอนนั้นน่ากลัวค่ะ แต่ไม่เกี่ยวกับโรงแรมรอยัลรัตนโกสินทร์ใช่ไหมค่ะ
 
 ผู้สัมภาษณ์  : อันนั้นสมัยสุจินดาครับ
 คุณพรทิพย์  : น่ากลัวค่ะ  ตอนนั้นก็มีวิดีโอที่เขาแจกมา  ขอเขามา อันนั้นน่ากลัวค่ะ  เพราะเราจะประทับใจงานของเรามากกว่า  เป็นของนักศึกษา มีเสาวนีย์   มีคุณธีรยุทธแล้วคุณอะไรที่เป็นหัวหน้านะค่ะ  เราจะจำแม่นเพราะว่าเป็นช่วง 14 ตุลา 2516 พอมา 19 ก็เฉยๆแล้ว  เพราะว่ามันไม่ใช่แล้ว
 ผู้สัมภาษณ์  : ที่ทำงานอยู่ใกล้หรือเปล่าครับ คุณพรทิพย์  : ไม่ใกล้ค่ะ  คืออ้วนอยู่กรมประชาสัมพันธ์แค่ปีเดียวเอง   แล้วอ้วนก็โอนมาอยู่สำนักงานสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ  ไปอยู่แถวอาคารสุริโยทัย ใกล้ๆช่อง 5 ไปอยู่แถวสนามเป้าแล้ว  ไกลไป  เราจะจำสมัย 2516  แต่ก็ไม่ชอบใจนะ  ที่ธรรมศาสตร์ด้วย   ก็มานั่งคุยกับเพื่อนที่ทำงานที่ธรรมศาสตร์  มีคนตายอย่างนี้นะค่ะ  รู้สึกจะปี 19 นะค่ะที่สันติบาลมาประกบพวกเรา  เพราะว่าโดนต้อนไป  เพื่อนเขาเล่าความไม่ดีของพวกตำรวจนะค่ะ  คือทำปู้ยี้ปู้ยำ  น้องผู้หญิง  เพื่อนเล่าให้ฟังตอนนั้นไปทานข้าวบ้านเพื่อน   เรามีสิทธิ์คุยไงเพราะว่าเราไม่มีใครตามมา   เราปิดบ้านคุยกัน  ปี 19 ฯละค่ะ  เพราะเราจะเจอกันบ่อย  แต่ตอนนี้ไม่ได้เจอแล้ว
 ผู้สัมภาษณ์  : หลัง 19 ก็ยังได้เจอเพื่อนแล้วเพื่อนก็เล่าให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง  อย่างนี้หรือครับคุณพรทิพย์  : ใช่ค่ะ   โดยเฉพาะเพื่อนที่ธรรมศาสตร์   เพิ่งจะโดนต้อนขึ้นรถไปด้วยหรือว่าอย่างไรนี่ละค่ะ  เพราะว่าตอนนั้นเพื่อนต้องดูแลงานประชาสัมพันธ์  เพื่อนเป็นผู้ชายเขาก็สะดวกและก็มาเล่าให้ฟัง
 ผู้สัมภาษณ์  : ตอนนั้นเพื่อนเป็นเจ้าหน้าที่ของธรรมศาสตร์หรือครับ คุณพรทิพย์  : ค่ะ เป็นเจ้าหน้าที่ของธรรมศาสตร์นี่ละค่ะ  เพื่อนจะส่งข่าว คือเขาต้องรับผิดชอบอยู่ที่นั่น  เขาเป็นข้าราชการ  เธอทำงานดูแลอยู่ธรรมศาสตร์  เธอก็ต้องอย่าหนีไปไหน  เขาจะมาเล่าให้เราฟัง  แล้วก็ในปี 2519 ก็จะไม่อะไรแล้ว
 ผู้สัมภาษณ์  : ไม่ทราบว่าพี่พอจะให้ความเห็นได้ไหมครับกับเรื่องเหตุการณ์ปัจจุบันในทัศนะมุมมองการเมืองในปัจจุบัน  มันเป็นอย่างไรอะไรทำนองนี้นะครับ คุณพรทิพย์  : อ้วนไม่ค่อยมีความคิดเห็นแต่อ้วนคิดว่า   เดี๋ยวก็เหลืองเดี๋ยวก็แดง   คนที่อยู่ข้างเสื้อเหลืองก็ไม่ชอบเสื้อแดง  และก็หาว่าคุณทักษิณอย่างนั้นอย่างนี้   แต่ถ้าไปอีกกลุ่มหนึ่ง   บางคนเขาก็จะอยู่ข้างคุณทักษิณ   เราเป็นกลางนะ เราไม่คุยการเมือง   เดี๋ยวจะตบตีกัน เดี๋ยวโดนไล่จากแท็กซี่
 
 ผู้สัมภาษณ์  : ตอนนี้มีกี่สีแล้วผมก็ไม่รู้   ก็มีสีขาวอีก หยุดทำร้ายประเทศไทย
 คุณพรทิพย์  : มีสีดำอีก แต่สีดำเป็นพฤษภา  สีน้ำเงิน  ปวดหัวค่ะ   การเมืองบางคนเขาก็บอกว่าเบื่อ   เพราะเราไม่ได้เป็นอะไรกับนักการเมือง   เราไม่ได้เดือดร้อน  ใครจะเป็นอะไร  ใครจะใหญ่ขึ้นมา   เราก็จะเป็นประชาชนเหมือนเดิม เราก็ยังมีญาติ มีพรรคพวก
 
 ผู้สัมภาษณ์  : แล้วคิดอย่างไรครับ ที่สังคมไทยมันผ่านเหตุการณ์รุนแรง  หลายครั้งมาก
 คุณพรทิพย์  : ตอนนี้สภาของเรามันแย่กว่าไต้หวันนะ   เราก็ยังมีนะค่ะประชุมกันจะต่อยกันยังต้องห้ามเอาไว้  ทีแรกเราไปหัวเราะเยาะไต้หวัน  ตอนนี้เรายิ่งแย่กว่าเขาอีก  โดยเฉพาะข่าวพวกนี้ไปเร็วนะคะ  ระบบสื่อสารเราเร็ว  ก็ไม่รู้นะค่ะมาเจอกับบ้านเรานี่  ไม่คิดว่าแบบนี้มันก็เกินไปแล้ว  แต่ก็รักในหลวงนะค่ะ  บางทีก็หาว่ามาเข้าข้างเหนือหัว  เราไม่รู้แล้วแต่จะกล่าวหา  เราไม่รู้จะพูดอย่างไร บางคนเขาชอบอันนี้  บางคนชอบอันนั้น  เราเป็นกลาง  เราก็ฟังเขาพูด
 ผู้สัมภาษณ์  : ปัจจุบันนี้รับแหล่งข้อมูลจากไหนบ้างครับ คุณพรทิพย์  : ส่วนใหญ่รับทีนิวส์และก็ดูข่าว
 ผู้สัมภาษณ์  : ทีนิวส์นี่เป็นอะไรครับ คุณพรทิพย์  : เป็น sms และส่งผ่านมือถือ  เราจะรู้เร็วค่ะ  และก็อ่านหนังสือพิมพ์ทุกวัน  ข่าวสังคม เราจะรับสองหัว ซื้อแนวหน้า  อังคารกับเสาร์  เพราะว่ามีรุ่นพี่แล้วเรามีเพื่อนเป็นคอลัมนิสต์  อันนี้อ่านห้องสมุด  แต่ตอนนี้ไม่ได้ทำงานเลยไม่ได้เข้าห้องสมุด   ที่ห้องสมุดจะมีทุกเล่มแล้วเราก็เข้าไปอ่านหมด  เปิดดู   แนวหน้ากับไทยรัฐ  และก็สกุลไทย ข่าวสังคม  ก็จะเป็นสายให้เขา  พิมพ์ๆกับคอมพิวเตอร์และก็ส่งแฟกซ์ไป  หน้าสังคมของสกุลไทย  หน้าสังคมสองวันของแนวหน้า  ของไทยรัฐนี่ดูข่าวสังคมซุบซิบ  ตอนนี้ก็จะเป็นคุณคัทลียาหรือเป็นคุณน้องผู้หญิงคนใหม่
 ผู้สัมภาษณ์  : เขาให้ค่าตอบแทนไหมครับ คุณพรทิพย์  : ไม่ค่ะ มีแต่เราให้เขา   มีเวลาวันเกิด ญาติเขาเสีย ลูกเขาเป็นอย่างไร  เราก็ไปแสดงความยินดีมีสิ่งเล็กๆน้อยๆ  เป็นสื่อน้ำใจ  ไม่มีใครมาให้เรา  เป็นอาสาสมัคร เป็นจิตสาธารณะ  ที่จะช่วยเขาเราไม่ได้อะไร  พอมีอะไรเราก็ส่งการ์ดส่งของไป  หรือบางทีถ้ามีโอกาสเราก็จะเอาไปให้ด้วยตัวเอง  ไม่มีได้อะไรจากใคร  เราก็ภูมิใจ
 ผู้สัมภาษณ์  : อินเตอร์เน็ตอะไรตอนนี้ได้เข้าหรือเปล่าครับ คุณพรทิพย์  : ตอนนี้ย้ายบ้านไปอยู่คู้บอน  ไปติดต่อแล้วมันบอกว่าต้องรอ  เพราะว่ายังไม่มีเครือข่ายของ ทศท.  มือถือก็ใช้ไม่ได้ค่ะ แต่ไปขอแล้ว ขอของทีโอที  ก็จะขอติดอินเตอร์เน็ตด้วยก็เลยแจ้งความจำนง   ตัวเองก็มีโน๊ตบุค แต่ว่าลำบากเพราะเราก็เป็นคนแก่  พิมพ์ เขียน ส่ง ทางแฟกซ์  แต่ถ้าสนิทกับคอลัมนิสต์ก็จะใช้โทรเอา  สะกดชื่อให้ถูกต้องก็ใช้อย่างนี้  สื่อสารกันได้เร็วขึ้น  ดีกว่าสมัยก่อนเยอะ  สมัยก่อนนานค่ะกว่าจะรู้เรื่อง
 
 จบการสัมภาษณ์
 |