Hollister France

Hollister France

Hollister France

Hollister France

Hollister France

Hollister

Hollister

Hollister

Hollister

Hollister

Hollister

Hollister

Woolrich Outlet

Woolrich

hogan

hogan

hogan

Hogan Sito Ufficiale Hogan Scarpe Hogan Outlet Hogan Scarpe Hogan Hogan Scarpe Hogan Interactive Hogan Donna Scarpe 2013 Hogan Scarpe Outlet Hogan Vendita Hogan Hogan Scarpe 2013 Hogan Scarpe Hogan Scarpe Hogan Hogan Outlet Hogan Scarpe Outlet Hogan Scarpe Donna Hogan Scarpe Hogan Outlet Scarpe Hogan Hogan Sito Ufficiale Scarpe Hogan2013 Hogan Hogan Scarpe Donna Hogan Scarpe Donna Hogan Interactive Hogan 2013 Hogan Online Hogan Italia Hogan Scarpe
woolrich ASK Hollister Hollister abercrombie abercrombie abercrombie abercrombie woolrich parka Hollister Holliter France Hollister Hollister France Magasin Vetement Hollister Hollister Soldes Hollister Pas Cher Pas Cher Hollister Hollister Vente Hollister En ligne Hollister 2013 Hollister France Hollister France 2013 Hollister Hollister Hollister Magasin Hollister Vente Hollister Homme Hollister Pas Cher Hollister T Shirts Hollister Paris Boutique Hollister Vetements Boutique Hollister Pas Cher Pas Cher Hollister Hollister Hommes Hollister France Vente Hollister Hollister sortie 2013 Pas Cher Hollister Hollister Pas Cher
บทสัมภาษณ์ - เสรี ศิรินุพงศ์

วันที่ : 7  ตุลาคม  2552
เวลา : 10.00 น.
สถานที่ : มูลนิธิ  14  ตุลา 
ตามโครงการของมูลนิธิ 14 ตุลา ในการรวบรวมปากคำของคนที่อยู่ในเหตุการณ์ เพื่อจัดทำเป็นฐานข้อมูลเพื่อการศึกษาต่อไป


เริ่มสัมภาษณ์

ผู้สัมภาษณ์ : ก่อนอื่นผมอยากให้ลุงเล่าชีวิตวัยเด็ก  เกิดที่ไหน  พ.ศ.อะไร
คุณเสรี : ผมเกิดที่จังหวัดพัทลุง  เติบโตมาในชนบท

ผู้สัมภาษณ์ : ลุงเกิดปีอะไรครับ
คุณเสรี : ปีมะโรง  83  พ.ศ.  2483 

ผู้สัมภาษณ์ : ไม่ได้เกิดในตัวจังหวัดพัทลุง
คุณเสรี : ในชนบท  ตอนนั้นเขาเรียกว่าอำเภอกวนถนน  อยู่ใกล้ทะเลน้อย  ทะเลสาบเล็กๆ  ตอนนั้นอยู่ห่างไกลจากความเจริญ  ไม่เหมือนสมัยนี้มันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวไปแล้ว  ทะเลน้อย  เห็นออกรายการทีวี 

ผู้สัมภาษณ์ : สมัยก่อนเป็นชนบท
คุณเสรี : เป็นชนบท

ผู้สัมภาษณ์ : แล้วพ่อแม่ครอบครัว
คุณเสรี : พ่อแม่ผมรับราชการ  คุณพ่อเป็นครูใหญ่ที่อำเภอพนังตุง  คุณแม่เป็นชาวสวน  และเป็นชาวสวนด้วย

ผู้สัมภาษณ์ : เป็นคนพื้นที่รึเปล่า
คุณเสรี : เป็นคนพื้นที่

ผู้สัมภาษณ์ : แล้วสภาพสมัยนั้นเป็นอย่างไรบ้าง  ถนนหนทางการสัญจรไปมา
คุณเสรี : เป็นถนนลูกรัง  ไปบ้านผม  เดี๋ยวนี้ลาดยางหมดแล้ว  ชาวต่างเมืองไปเที่ยวกัน  ทำให้เขาเรียกว่าอุตสาหกรรมในต่างจังหวัดเติบโตขึ้น  เสื้อกระจูดรู้จักไหม
ผู้สัมภาษณ์ : มีตั้งแต่สมัยลุงเด็กๆเลยรึเปล่า
คุณเสรี : ครับๆ  สานด้วยมือ  เดี๋ยวนี้มีเครื่องมือ  เครื่องจักรเข้าไปช่วย  สามารถส่งสินค้าออกเป็นของตำบลเลย  เมื่อก่อนนี้เป็นเสื่อกระจูดนั่งได้หลายคน

ผู้สัมภาษณ์ : ชาวบ้านสมัยก่อนอาชีพหลักคือทำสวน
คุณเสรี : ทำสวน  ทำนา  แล้วก็ทำเสื่อกระจูด  แล้วก็จับปลาในทะเลน้อย  เดี๋ยวนี้ปลาไม่ค่อยมีแล้ว  มีแต่ดอกบัวเต็มทะเลเลย

ผู้สัมภาษณ์ : ก็ถือว่าเป็นหมู่บ้านที่อุดมสมบูรณ์พอสมควร
คุณเสรี : พอสมควร  รุ่นต่อมาก็พัฒนากัน  เป็นตำบลที่น่าเที่ยว

ผู้สัมภาษณ์ : พอเข้าโรงเรียน
คุณเสรี : เรียนที่ตำบล

ผู้สัมภาษณ์ : เรียนที่หมู่บ้าน
คุณเสรี : ในตำบลนั้น  พ่อผมเป็นครูใหญ่  เขาเรียกว่าศิปชา  ตอนหลังผมก็ไปเรียนในตัวเมือง  โรงเรียนพัทลุงวิทยา

ผู้สัมภาษณ์ : ก็คือเรียนที่นั่นจนถึงป. 4
คุณเสรี : ป.4  ไง  แล้วมาจบม.  6  ในเมือง  แล้วก็เดินทางเข้ากรุงเทพปี  2499  มาเรียนที่เพาะช่าง

ผู้สัมภาษณ์ : ม.  1  -  ม. 6  นี่ในตัวจังหวัดเลยนะครับ
คุณเสรี : ตัวจังหวัดเลย

ผู้สัมภาษณ์ : ตอนนั้นไปพัก  ไปอะไรอย่างไร
คุณเสรี : เขามีบ้านพัก  เขามีห้องเช่าให้

ผู้สัมภาษณ์ : ของโรงเรียน
คุณเสรี : โรงเรียนพัทลุงวิทยาเป็นโรงเรียนราษฎร์ที่ใหญ่ที่สุดในพัทลุง  ตอนหลังผมไปเป็นครูให้นะ  โรงเรียนนี้  ผมไปสอนวาดเขียน  ไปสอนภาษาไทย  ภาษาอังกฤษ  ตอนสมัยอาจารย์สุขเกล้า  เก้าทนงค์เป็นอาจารย์ใหญ่  ผมเป็นลูกศิษย์อ.สุขเกล้า  ท่านก็เคยสมัครสส.พัทลุง  แต่ท่านเสียไปแล้ว

ผู้สัมภาษณ์ : เดี๋ยวผมคุยเรื่องก่อนจะเข้ากรุงเทพก่อนแล้วกันนะครับ  ที่แถวบ้านลุงสมัยนั้นมันเป็นเรื่องการเมือง  เรื่องอะไรมัน
คุณเสรี : ค่อนข้างน้อย  แต่ตอนหลังพอความเจริญมันเข้าไปรู้สึกประชาชนสนใจการเมืองมากขึ้น  คือไม่มากที่สุดแต่มากขึ้น  ปู่ผมเป็นกำนันที่ทะเลน้อย  แกก็หัวประชาธิปไตย 

ผู้สัมภาษณ์ : แล้วบทบาทข้าราชการพวกปลัด  นายอำเภอหรือว่าตำรวจในหมู่บ้านสมัยก่อน
คุณเสรี : เรียกว่าเผด็จการ  วงจรอุบาท  แบบนายอำเภอต้องเป็นเจ้านายคน  ตำรวจเนี๊ยกลายเป็นบุคคลที่ว่าอยู่เหนือประชาชน

ผู้สัมภาษณ์ : สมัยนั้นไม่มีบทบาททหาร
คุณเสรี : ไม่มี  บทบาททหารไม่มี  ยังไม่มีตั้งเป็นกองกำลังทหารไม่มี  แต่เดี๋ยวนี้แล้ว

ผู้สัมภาษณ์ : แล้วเข้ากรุงเทพปีอะไร
คุณเสรี : 2499  มาเรียนที่โรงเรียนเพาะช่าง  สมัยนั้นเป็นโรงเรียน  เดี๋ยวนี้เป็นมหาลัยแล้ว

ผู้สัมภาษณ์ : ผมย้อนไปนิดหนึ่งตอนที่ลุงเรียนพัทลุงคือตอนนั้นตอนมัธยม  ในโรงเรียนเขาพูดเรื่องการเมืองกันไหม
คุณเสรี : ก็เจ้าของโรงเรียนเป็นนักการเมือง  พรรคมะนังกสิรา

ผู้สัมภาษณ์ : จอมพลป.
คุณเสรี : จอมพลป.  เครือข่ายของจอมพลป. 

ผู้สัมภาษณ์ : แล้วเวลาการเรียน  การสอนพูดเรื่องการเมืองไหม
คุณเสรี : ช่วงหลังมีพูดการเมือง  โดยเฉพาะจบเพาะช่างแล้วไปสอนที่โรงเรียนพัทลุงวิทยา

ผู้สัมภาษณ์ : ตอนลุงเป็นนักเรียนมีไหม
คุณเสรี : ก็มีบ้างเป็นบางคน  ส่วนมากที่สอนสังคมจะสอนนักเรียนเกี่ยวกับเรื่องการเมืองบ้างเล็กน้อย

ผู้สัมภาษณ์ : เรื่องคอมมิวนิตส์มีการพูดกันไหมสมัยนั้น
คุณเสรี : ช่วงนั้นยังไม่มีสงครามประชาชน  ช่วงนั้นเป็นเมืองธรรมดาๆ  ไม่มีที่มั่นของพรรคคอมมิวนิตส์แห่งประเทศไทย 

ผู้สัมภาษณ์ : คือชาวบ้านทั่วไปยังไม่รู้จักคอมมิวนิตส์
คุณเสรี : จริงๆ  คอมมิวนิตส์ยังไม่เกิดขึ้นในโลก  มีแต่สังคมนิยม  คอมมิวนิตส์มันต้องถึงขั้นท่านศรีอรย์  เมตรัย นู้น  ไม่มีทหาร  ไม่มีตำรวจ  มีแต่พลเมืองดีไปทั่ว  คอมมิวนิตส์ยังไม่มีเกิดขึ้นในโลกเลย แม้แต่จีนโซเวียดนามมีแค่สังคมนิยมแค่นั้น  ยังไม่ตายไปถึงขั้นสูงสุดๆคืออารยเมตตรัย

ผู้สัมภาษณ์ : ปี  2499  เข้ามาเพาะช่าง  มาเรียนเกี่ยวกับเรื่องช่าง  ศิลป
คุณเสรี : วิจิตรศิลป์

ผู้สัมภาษณ์ : ทำไมถึงมาเรียนด้านนี้
คุณเสรี : ก็ผมคล้ายๆชอบทางด้านนี้มา  และครูที่สอนศิลปะก็ส่งเสริมให้ผมมาเรียนเพาะช่าง

ผู้สัมภาษณ์ : แล้วที่บ้านพ่อแม่เขามองอย่างไรบ้างเกี่ยวกับการเรียนศิลปะ  เขาสนับสนุนหรือคัดค้านไหม
คุณเสรี :   บอกดีแล้ว  ลูกชอบทางนี้พ่อก็สนับสนุน

ผู้สัมภาษณ์ : ก็เข้ามาเรียน  แล้วตอนเรียนอยู่เพาะช่างลุงพักที่ไหน  อย่างไร
คุณเสรี : พักบ้านของอาจารย์ๆ  เป็นทั้งอาจารย์  เป็นลูกศิษย์ของพ่อผม  อ.นิต  เพชรศรี  ผมอยู่บ้านเขา  แล้วเขาสอนเพาะช่างด้วย  ผมเหมือน  เข้าไปเฉยๆเลย  แต่สอบคัดเลือกนะ  ผมได้ที่ดีด้วย  ด้วยแรงบันดาลใจของอ.นิตด้วยก็ได้

ผู้สัมภาษณ์ : ลุงเข้าปี  2499  แล้วเรียนเพาะช่างกี่ปี
คุณเสรี : เรียน  5  ปี  ตอนนั้นยังเป็นปวส.  ยังไม่เป็นมหาลัย  แผนกวิจิตรศิลป์

ผู้สัมภาษณ์ : ช่วงที่ลุงเข้ามาเป็นปลายจอมพลป.
คุณเสรี : ปลายๆ  ก็จอมพลป.  ถูกไล่เมื่อปี  2500

ผู้สัมภาษณ์ : ตอนนั้นบรรยากาศในกรุงเทพเป็นอย่างไรบ้าง
คุณเสรี : ผมยังเดินขบวนต่อต้านการเลือกตั้งสกปรก  ยังมาร่วมเดินกับเขาด้วย  ปี  2500 

ผู้สัมภาษณ์ : แล้วลุงเข้าร่วมได้อย่างไร
คุณเสรี : เดินขบวนประชาชน  เดินขบวนธรรมดา

ผู้สัมภาษณ์ : ใครมาติดต่อหรือว่ารู้ข่าวได้อย่างไร
คุณเสรี : ไม่ยิ่งใหญ่เหมือน  14  ตุลานะ  ไม่ยิ่งใหญ่  คนไม่เป็นแสน  14  ตุลา  คนเป็นแสนนะ

ผู้สัมภาษณ์ : แล้วลุงรู้ข่าวหรือว่าอะไรอย่างไร  เขาจะเดินแล้วเข้าไปอย่างไร  มีใครมาชักชวนหรืออะไรอย่างไร
คุณเสรี : ก็ช่วงนั้นไปฟัง  ธรรมศาสตร์เขาเป็นหัวหอกช่วงนั้น

ผู้สัมภาษณ์ : คือก่อนสฤษยังมีการเคลื่อนไหวทางการเมืองอยู่บ้าง
คุณเสรี : ช่วงนั้นอ.ปรีดียังไม่เสีย  เป็นอธิการบดี ม.ธ. อยู่ช่วงนั้น  และหลังจากนั้นพวกทหารก็เอาอ.ปรีดีออกไปอยู่ต่างประเทศในคดีนั่นแหละ  และพวกจอมพลป.ก็ครองธรรมศาสตร์มาตลอด  จอมพลป.เป็นอธิการบดี  หลังจากนั้นก็ทหารส่วนใหญ่

ผู้สัมภาษณ์ : แล้วตอนลุงเข้าธรรมศาสตร์ใหม่ๆ  ปี  2499  ตอนนั้นจอมพลป.เป็นอธิการแล้ว

ผู้สัมภาษณ์ : แล้วการเคลื่อนไหวของนักศึกษาช่วงนั้น
คุณเสรี : ช่วงนั้นเป็นการขัดแย้งระหว่างจอมพลป.กับสฤษ  อะไรต่ออะไร  เริ่มมีอาการแล้ว  ช่วงหลังก็จอมพลป.ก็ถูกไปอยู่ต่างประเทศ

ผู้สัมภาษณ์ : ลุงพอจะจำได้ไหมเลือกตั้งสกปรกลุงจำได้ไหมว่าเดินจากจุดไหนไปไหน
คุณเสรี : นักศึกษาก็เดินขบวนจากธรรมศาสตร์ร่วมกับประชาชน  ไม่ใช่เฉพาะนักศึกษา  เดินขบวนให้การเลือกตั้งเป็นโฆษะ 

ผู้สัมภาษณ์ : ไปที่
คุณเสรี : เดินไปที่ลานพระรูป  จากธรรมศาสตร์ไปลานพระรูป  รู้สึกมีการขึ้นกล่าวคำปราศรัยกันมืดค่ำถึงเลิก  ขับไล่จอมพลป.ด้วย  เรื่องเลือกตั้งสกปรก

ผู้สัมภาษณ์ : ตอนนั้นลุงไปคนเดียวใช่ไหม  หมายถึงว่าไม่ได้มีกลุ่มเพื่อนไปด้วยหรือว่าอย่างไร
คุณเสรี : ก็รวมๆกลุ่มกันไป  นักเรียนเพาะช่าง  ก็ช่วยกันเขียนโปสเตอร์  ประณามจอมพลป. เรื่องการเลือกตั้งสกปรก

ผู้สัมภาษณ์ : ที่นี้พอมีการเลือกตั้ง  และมีการประท้วงจอมพลป.  จนตอนหลังมีการรัฐประหารจอมพลป.  ตอนนั้นคนในกรุงเทพหรือว่านักศึกษาเองรู้สึกอย่างไร  คือจอมพลสฤษก็เป็นพระเอก
คุณเสรี : ก็ตอนนั้นจอมพลสฤษเหมือนกับศิษย์คิดล้างครูอะไรนี่นะ  หาว่าจอมพลป.ต้องไปอยู่ต่างประเทศ

ผู้สัมภาษณ์ : แล้วช่วงแรกๆที่จอมพลสฤษขึ้นมาประชาชนพอใจหรือนักศึกษา
คุณเสรี : พอใจในด้านหนึ่ง  แต่เกลียดในด้านหนึ่ง  ด้านที่มันโกงกิน  ประชาชนเกลียด  มีเมียมาก  ประชาชนเกลียด  แต่ประชาชนชมเรื่องความเด็ดขาดของสฤษมีอยู่เรื่องพวกยาเสพติด  คดีข่มขืน  ประหารเลย 

ผู้สัมภาษณ์ : แล้วตอนนั้นพอยุคจอมพลป.  เปลี่ยนจากจอมพลป.เป็นจอมพลสฤษ  สภาพบ้านเมืองหรือบทบาทมันต่าง
คุณเสรี : บทบาททหารรู้สึกว่าประชาชนกำลังจะยอมรับ  แต่ในที่สุดก็ล้มเหลวระบบสฤษ 

ผู้สัมภาษณ์ : ตอนนั้นที่จอมพลสฤษตาย  พ.ศ.  2504 
คุณเสรี : สฤษตาย  2505 

ผู้สัมภาษณ์ : 2506
คุณเสรี : เออ  2506

ผู้สัมภาษณ์ : ผมถามลุงก่อนว่าลุงจบเพาะช่างแล้วไปต่างจังหวัดเลยรึเปล่าหรือว่าอยู่กรุงเทพ
คุณเสรี : พอจบเพาะช่างผมก็ไปสอนศิลปอยู่ที่โรงเรียนที่ผมเคยเรียน

ผู้สัมภาษณ์ : กลับไปสอนเลย
คุณเสรี : กลับไปสอนอยู่  2  ปี  เคยสอนวีระ มุสิพงษ์  สอนเขาตอนเรียนม.  6 

ผู้สัมภาษณ์ : ช่วงที่สฤษตายลุงอยู่ที่พัทลุง
คุณเสรี : ครับ

ผู้สัมภาษณ์ : แล้วบรรยากาศอาจจะไม่เหมือนที่อยู่กรุงเทพ  แต่ว่าเอาบรรยากาศที่ลุงเห็นชาวบ้านเขารู้สึกอย่างไร
คุณเสรี : ชาวบ้านเขาก็ไม่เทิดทูนสฤษเท่าไรนัก  คือเกลียดบางจุด  ยกย่องบางจุดอะไรอย่างนี้  แต่การปลุกระดมของสฤษมีมาก  ปลุกระดมให้เชื่อทหาร  เพราะธาตุแท้ของสฤษก็คือเผด็จการ

ผู้สัมภาษณ์ : แล้วพอยุคถนอมหลังจากสฤษตาย  บรรยากาศมันผ่อนคลาย  เอาอย่างนี้นะครับ  ผมถามลุงก่อนว่าลุงอยู่จุดไหน  หลังจากสอนโรงเรียนที่บ้านแล้ว  ลุงไปไหนต่อ
คุณเสรี : ก็สอนอยู่  2  ปี  เสร็จแล้วก็ขึ้นมาอยู่กรุงเทพมาสอนโรงเรียนในกรุงเทพก็เคยสอนที่อำนวยศิลป์และอิสระนุกูล

ผู้สัมภาษณ์ : สอนอยู่กี่ปี
คุณเสรี : รู้สึกร่วม  2  ปี  และผมไปสอบเข้ากรมเจ้าท่าได้  เลยรับราชการที่กรมเจ้าท่า  อยู่  34  ปีทั้งหมด  กรมเจ้าท่าตลาดน้อยนะ เขตสัมพันธ์วงษ์ บ้าน อ.จ.ป๋วยก็อยู่ที่ตลาดน้อย ตอนนี้อยู่ – เขาอนุรักษ์ไว้ เพื่อชนรุ่นหลังให้ได้ศึกษาชีวิตและงานของป๋วย

ผู้สัมภาษณ์ : ก็คือหลังจากสฤษตายลุงก็ขึ้นมาสอนที่กรุงเทพ  บรรยากาศลุงรู้สึกว่ามันต่างไหม  ตอนลุงจบใหม่ๆ  เป็นยุคสฤษ  พอกลับมาอีกทีเป็นยุคถนอม  บรรยากาศมันต่างกันมากไหม
คุณเสรี : ต่างกันนิดหน่อย  คือประชาชนกำลังหาที่พึ่ง  ว่าคนที่จะมาปกครองบ้านเมืองคือใคร  แล้วช่วงนั้นถนอม นรงค์  โค้นอำนาจมาจากจอมพลป.

ผู้สัมภาษณ์ : แล้วตอนนั้นคือเป็นยุคทหารเต็มตัวอยู่แล้ว  ไม่แน่ใจว่าโรงเรียนที่ลุงไปสอนหรือว่ากับครูอาจารย์เขามีการร่วมกลุ่มหรือมีการทำกิจกรรม  หรือมีการนั่งคุยกันทางการเมืองกันบ้างไหม
คุณเสรี : ก็มีนะ  โรงเรียน  ท่านเสียไปแล้ว  เป็นครูใหญ่  โรงเรียนราษฎร์   พอกรมเจ้าท่าเขาประกาศรับช่างเขียนแบบผมก็ไปสมัครก็สอบได้  อยู่กรมเจ้าท่าอยู่  34  กว่าปี  กว่าจะเพียรราชการ

ผู้สัมภาษณ์ : อันนี้คือเป็นกรมเจ้าท่ามีฐานะเป็นอะไร  เป็นข้าราชการหรือรัฐวิสาหกิจ
คุณเสรี : เป็นข้าราชการ    กรมเจ้าท่าอยู่น้อย   เป็นหน่วย  ไม่ใช่การท่าเรือนะ

ผู้สัมภาษณ์ : การท่าเรือ
คุณเสรี : รัฐวิสาหกิจ

ผู้สัมภาษณ์ : แล้วที่นี้แล้วพอลุงเป็นข้าราชการ  แล้วการมา  โอเคการตามข่าวไม่เป็นปัญหาเท่าไร  แต่เรื่องการเคลื่อนไหวเรื่องอะไร   ก็คือลุงไปเข้า
คุณเสรี : ก็ส่วนใหญ่นะ  ตอนเย็นเขาจะมีไฮปาร์ค  ผมพอเลิกงานแล้วก็ไปชุมนุมร่วมกับเขาด้วย

ผู้สัมภาษณ์ : อันนี้คือช่วงก่อน  14  ตุลารึเปล่าที่มีไฮปาร์ค
คุณเสรี : มีก็ไม่มาก  มาดังตอนเสกสรร  ประเสริฐกุล    ช่วงก่อนๆ  ก็เรื่องเรียกร้องมหาลัยคืนจากทหาร  อะไรต่ออะไร  แต่ช่วงหลังหนักไปทางการเมืองเพื่อประชาชนมากขึ้น

ผู้สัมภาษณ์ : ผมจะเจาะไปที่  14  ตุลาสักหน่อย  ลุงพอจะจำได้ไหม  ได้เข้าไป  รู้ข่าวหรือรู้อะไรอย่างไรว่ามีการชุมนุม  รู้จากไหน
คุณเสรี : ส่วนมากตอนเย็นๆ  ผมมาธรรมศาสตร์เพราะเป็นทางผ่านที่ผมไปทำงาน

ผู้สัมภาษณ์ : ลุงพักที่ไหน
คุณเสรี : ตอนนั้นผมพักอยู่บ้านญาติ  อยู่ใกล้ๆ  เขารับราชการอยู่บางรัก

ผู้สัมภาษณ์ : ก็คือมาฟัง
คุณเสรี : ก็เรียกว่าบรรยากาศทางประชาธิปไตยเริ่มมีในธรรมศาสตร์การเคลื่อนไหวที่เป็นรูปธรรม

ผู้สัมภาษณ์ : แล้วมาบ่อย  มาทุกวันรึเปล่า
คุณเสรี : มาบ่อย  วันไหนมีไฮปาร์คผมก็มาฟัง

ผู้สัมภาษณ์ : แต่ก็คือไม่ได้ค้างคืน
คุณเสรี : ไม่ได้ค้าง  เขาไม่ได้ให้ไฮปาร์คข้ามวันข้ามคืน  ช่วงเย็นๆ  สภาหน้าโดมรู้สึกว่าเขาเคลื่อนไหวตั้งแต่ยังเป็นนักศึกษาอยู่

ผู้สัมภาษณ์ : ช่วงวันที่  12  13  14  ที่มีการเดินขบวนอะไรแบบนี้  ตอนนั้นลุงได้เข้าร่วมขบวนรึเปล่า  ออกจากธรรมศาสตร์ไปไฮปาร์ค  ไปลานพระรูป
คุณเสรี : ด้วยๆ  เข้าร่วมขบวนด้วย 

ผู้สัมภาษณ์ : แล้วได้กลางคืน  ตอนที่เดินออกจากธรรมศาสตร์แล้วได้นอนในม็อบรึเปล่า
คุณเสรี : ในรูปแบบนั้น

ผู้สัมภาษณ์ : แล้วตอนนั้นบรรยากาศ  ชาวบ้านทั่วๆไปเขา
คุณเสรี : เขาเริ่มมีช่วงนั้น  เพราะแรงผลักดันของนักศึกษาๆออกโรงต่อต้านเผด็จการ

ผู้สัมภาษณ์ : ช่วงที่ลุงอยู่ในม็อบรู้ข่าว  หมายถึงว่าได้ตามข่าวข้างนอกไหม  ว่าหนังสือพิมพ์เขาเสนอข่าวว่าม็อบนี้เป็นอย่างไร  เขาเสนอข่าวเขาว่าอย่างไร
คุณเสรี : ติดตามข่าวตลอด  และหนังสือพิมพ์ก็เข้าข้างประชาชนอยู่บางฉบับ  มีเสียงอ่างทองสมัยก่อนจากไทยรัฐ  จากเสียงอ่างทอง  มติชนมาตอนหลัง 

ผู้สัมภาษณ์ : ตอนนั้นลุงคิดไหมว่าจะมีการปราบ  คิดไหมว่าเขาจะส่งทหารมารึเปล่า  จะมีการสะลายการชุมนุมรึเปล่า
คุณเสรี : ก็มีการคิดไปได้  2  แง่นะ  ว่าเขาจะปล่อยให้ประชาชนชุมนุมยืดเยื้อหรือว่าจะปราบก็คิดได้  2  ทางเหมือนกัน

ผู้สัมภาษณ์ : ลุงไม่รู้สึกเหรอว่าถ้าเขาปราบแล้วมันคิดไหมว่าถ้าเขาปราบจะทำไง  กลัวไหม
คุณเสรี : คล้ายๆกับจิตใจ  คนมันมากไง  ร่วมกับประชาชนให้มากเท่าที่มากได้

ผู้สัมภาษณ์ : แล้วตอนที่เขามีการปะทะกันเช้าวันที่  14  ตอนนั้นลุง
คุณเสรี : ตอนนั้นผมเรียนอยู่ม.รามคำแหงด้วย  คณะนิติศาสตร์

ผู้สัมภาษณ์ : ตอนปะทะกันลุงอยู่จุดไหนของขบวน
คุณเสรี : ตอนปะทะกันผมอยู่แถวบางลำพู

ผู้สัมภาษณ์ : ลุงพอจะจำเหตุการณ์หรือว่าเห็นอะไรได้มั่ง  ทหารมาจากไหนหรือว่าเหตุการณ์ตอนนั้น
คุณเสรี : มาเป็นคันรถพร้อมอาวุธ

ผู้สัมภาษณ์ : แล้วพอทหารมาลุงยังอยู่บริเวณนั้นรึเปล่า
คุณเสรี : ยังอยู่  ยังไม่หนีไปไหน  ยังไม่ยิงอะไรต่ออะไร  มันยิงกระสุนปลอม 

ผู้สัมภาษณ์ : แล้วตอนที่ยิงกระสุนจริงแล้วลุงอยู่ตรงไหนอย่างไร
คุณเสรี : ผมหลบไปอยู่ที่วัดบวร  มีร้านข้าวต้มหน้าวัดบวร ผู้สัมภาษณ์ : หลบไปอยู่ในกุฎิวัดหรืออะไร
คุณเสรี : ผมขึ้นไปอยู่บน   หอระฆังมันสูงได้เห็นเหตุการ์ณที่เขายิงกัน

ผู้สัมภาษณ์ : ลุงเห็นอะไรบ้าง
คุณเสรี : ก็เห็น  พอทหารเขายิง  ประชาชนก็มอบ  พอเสียงปืนสงบ  ประชาชนก็หือขึ้นไปอีก  ตอนหลังเป็นลูกจริงที่

ผู้สัมภาษณ์ : แล้วตอนนั้นลุงรู้ข่าวอื่นไหม  เช่น  ตอนถนอมลาออก  ตอนลาออกจากนายกก่อน  แล้วออกนอกประเทศ  และในหลวงตั้งอ.สัญญา  ธรรมศักดิ์เป็นนายกพระราชทาน  ตอนนั้นได้รับสื่อหรือว่ามีใครมาสื่อสารอะไรข่าวสารพวกนี้
คุณเสรี : ไม่  ผมติดตามเหตุการณ์กระชั้นชิด  ติดตามเหตุการ์ณร่วม

ผู้สัมภาษณ์ : แต่ข่าวนี้เป็นข่าวจากข้างนอกไง  แล้วลุงรับรู้ข่าวได้ไง
คุณเสรี : ส่วนมากก็ข่าวจากประชาชนส่วนใหญ่  หนังสือพิมพ์อะไรพวกนี้

ผู้สัมภาษณ์ : แล้วลุงอยู่ถึงวันไหนที่อยู่ในวัด
คุณเสรี : พอเสียงปืนสงบผมก็ออกมาชุมนุมกับประชาชนอีก  จนกระทั่งเคลื่อนขบวนย้ายจากธรรมศาสตร์  ตอนนั้นยังไม่มีการยิงอะไรกัน  แต่มีเกิดเหตุที่ข้างสวนจิตร  นักเรียนหญิงถูกตำรวจมันผลักลงน้ำและถูกทุบตี  คือที่จริงจะสลายการชุมนุมแล้ว  แต่ตำรวจไม่ให้ผ่านไปทางสวนรื่น  เพราะกองกำลังมันอยู่ที่นั่น  ให้ไปกระจายออกไปทางเดียวทางอนุสาวรีย์ชัย  ที่จริงพอเลิกชุมนุมต้องปล่อยให้ไปหลายทิศหลายทาง  เพราะไม่ได้อยู่บ้านเดียวกัน  มันปิดถนนเลย  แต่ประชาชนจะไปทางสวนรื่น

ผู้สัมภาษณ์ : ช่วงที่เขาเผ่ากองสลาก  เผ่าอะไรอ่ะ
คุณเสรี : ตอนนั้นประทะแล้ว  นักเรียนช่างกลมาเผ่ากองสลาก  ตอนนั้นประทะแล้ว  ตอนแรกเขาก็อะไรต่างๆ  ระเบิดขวดเขาเก็บแล้วนะ  แต่ตอนหลังที่นักศึกษาถูกทุบ  ถูกผลัก  ก็มีการปะทะกันกับทหารเผด็จการ

ผู้สัมภาษณ์ : ช่วงที่มีการเผ่าคือช่วงที่ทหารถอยไปแล้ว
คุณเสรี : ครับ  ช่วงนั้นแหละ  ประชาชนเป็นแสนๆ  ผนึกกำลังกัน แบบหัวใจเดียวกัน

ผู้สัมภาษณ์ : แล้วหลังจากนั้นลุงคิดว่าประเทศไทยก่อน  14  ตุลากับหลัง  14  ตุลา  มันต่าง  หลังจากผ่านเหตุการณ์นี้มาแล้ว
คุณเสรี : ผมคิดว่าต่าง  ประชาชนเริ่มมีความเข้าใจเรื่องประชาธิปไตยสูงกว่าระดับเก่า

ผู้สัมภาษณ์ : คือประชาชนก็จะเข้าใจว่าเป็นการเคลื่อนไหวนักศึกษา  นำโดยนักศึกษาแน่ๆ  แต่ว่ามวลชนหลักถ้าประเมินด้วยสายตาคิดว่านักศึกษากับชาวบ้านทั่วไปมันสัดส่วนมากน้อยกว่ากัน
คุณเสรี : ผมคิดว่าประชาชนก็มากกว่านักศึกษานะ  นักศึกษาแกนนำก็มีธรรมศาสตร์  จุฬา  รามคำแหง

ผู้สัมภาษณ์ : แต่มวลชนคือเป็นประชาชน
คุณเสรี : ครับ  ตั้งแต่กระบวนการกรรมกร  ขบวนการชาวนามีเข้าร่วมเหตุการณ์นี้จำนวนมาก

ผู้สัมภาษณ์ : พอหลัง  14  ตุลา 16 ก็มีการเคลื่อนไหวมากขึ้น  แล้วลุงได้เข้าร่วมการเคลื่อนไหว
คุณเสรี : ได้เข้าร่วมทุกโอกาส

ผู้สัมภาษณ์ : หลังเหตุการณ์  14  มันมีการเคลื่อนไหวเยอะมาก  ถามทั้งหมดคงไม่ไหว  อยากให้ลุงเล่าเหตุการณ์ที่ลุงรู้สึกว่ามันสำคัญ  มันจะเรียกว่าจะประทับใจ  อาจจะเป็นเหตุการณ์ร้ายก็ได้ที่ในความทรงจำ
คุณเสรี : ฝั่งใจไอ้ก้านยาวของเรา  ปกติอาวุธจะสู้กับทหารมันจะต้องอาวุธต่ออาวุธ  ก้านยาวด้วยความโมโหด้วยความแค้น  อ.ปริญญาโทที่ถูกยิงที่หน้ากรมประชาสัมพันธ์  ผมซึ้งตอนนั้น  ซึ้งมากเลย  นักศึกษาก็เอาศพของอ.ขึ้นบนอนุสาวรีย์  แล้วแห่ไปรอบเลย  ทั่วกรุงเทพโดยน.ร. ช่างกล ปลุกเร้าประชาชนที่ไม่รู้ให้เข้าร่วมมากขึ้น

ผู้สัมภาษณ์ : หลังจากเหตุการณ์  14  ตุลา  ถ้ามีการชุมนุมอะไรลุงก็จะมาร่วม
คุณเสรี : ครับ  ช่วงนั้นผมยังโสด  ยังไม่แต่งงาน  เลยเข้าร่วมได้ทุกโอกาส

ผู้สัมภาษณ์ : ลุงพอจะจำการเรียกร้อง  ข้อเรียกร้องสมัยนั้น  เคลื่อนไหวกันเรื่องอะไรบ้างที่ลุงได้เข้าร่วม
คุณเสรี : ให้แก้กฎหมาย  299  ที่นักศึกษาไปชุมนุมค้างคืนเลยหน้ากระทรวงยุติธรรม

ผู้สัมภาษณ์ : 299  นี่คืออะไร
คุณเสรี : กฎหมายเผด็จการ  คือห้ามชุมนุมเกิน  5  คน คือไปตัดสิทธิเสรีภาพของประชาชน  นักศึกษาชุมนุมข้ามคืน  ตอนหลังยอมยกเลิกที่หน้ากระทรวงยุติธรรม  สมัยทรราชย์ครองเมือง

ผู้สัมภาษณ์ : อันนั้นประมาณปีอะไร
คุณเสรี : จำไม่ค่อยได้แล้ว  แต่จำได้ว่ามันเริ่มมาตั้งแต่จุฬาก่อนแล้วมาที่ธรรมศาสตร์  และชุมนุมยืดเยื้อเลยหน้ากระทรวงยุติธรรม

ผู้สัมภาษณ์ : ทราบมาว่าลุงได้เข้าร่วมอยู่ในเหตุการณ์ตุลาด้วย  และเป็นจำเลยที่ 18   ผู้ต้องหา  ลุงเข้าไปร่วม  ตอนนั้นแต่งงานรึยัง  ตอน  6  ตุลา
คุณเสรี : ตอนนั้นแต่งงานแล้ว  ผมแต่งงานเมื่อปี  2519  มกราคม  11  แต่งงานได้ไม่กี่เดือนก็โดนจับไปอยู่ในคุก  ร.ร. พลตำรวจบางเขน

ผู้สัมภาษณ์ : ยังไม่มีลูกใช่ไหม
คุณเสรี : ยังไม่มีลูก  ผมมีลูกตอนออกจากคุกมาแล้ว

ผู้สัมภาษณ์ : 6  ตุลาก็คือไปร่วมชุมนุมปกติ
คุณเสรี : ขึ้นไฮปาร์คด้วย  ช่วยนักศึกษาเขา

ผู้สัมภาษณ์ : การที่ถูกจับเพราะขึ้นไฮปาร์ค 
คุณเสรี : ขึ้นไฮปาร์คด้วยและผมเป็นประธานแนวร่วมประชาชนแห่งประเทศไทย  หน่วยรักษาความปลอดภัยให้กับประชาชนในการชุมนุม

ผู้สัมภาษณ์ : ลุงช่วยเล่าที่มาของแนวร่วมประชาชนแห่งประเทศไทย 
คุณเสรี : ก็จากชาวบ้านธรรมดา  แนวร่วมกับนักศึกษาก็จัดตั้งกลุ่มแนวร่วมประชาชน

ผู้สัมภาษณ์ : คุยเริ่มประชุม  อะไรกันอย่างไร  หรือใครเป็นคนเสนอไอเดียเรื่องนี้
คุณเสรี : ตอนนั้นพรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทยเขาบอกเจ้าต้องมีขบวนการของประชาชนด้วย  แล้วร่วมกับพรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทย  ก็ไปเช่าสำนักงานอยู่ใกล้ๆกับสำนักงานชมพูและเพื่อนข้างหลัง  เป็นตึก  2  ชั้น  ทางพรรคสังคมนิยมก็ช่วยค่าเช่า  นอกนั้นประชาชนก็ช่วยเหลือตัวเอง

ผู้สัมภาษณ์ : ประมาณปีไหนที่ตั้งแนวร่วม
คุณเสรี : ช่วงนั้นเริ่มมีการเคลื่อนไหวของนักศึกษามากนะ  นักศึกษาก็เข้ามาร่วมกับแนวร่วมแห่งประเทศไทยด้วย  มีวิทยากรทั้งอาจารย์และนักศึกษาด้วย  ทำให้ขยายไปถึงต่างจังหวัดด้วย  มีสาขาของต่างจังหวัดด้วยมากมาย

ผู้สัมภาษณ์ : หลังจากตั้งเครื่อข่ายก็เคลื่อนไหวในนามแนวร่วมประชาชนแห่งประเทศ
คุณเสรี : ประชาชนแห่งประเทศไทย

ผู้สัมภาษณ์ : พอ  6  ตุลาคือลุงก็ขึ้นไฮปาร์คด้วย  แล้วบทบาทของแนวร่วมประชาชนแห่งประเทศไทย
คุณเสรี : อยู่หน่วยรักษาความปลอดภัยด้วย  ผมเป็นคนคุมหน่วยรักษาความปลอดภัยของแนวร่วมประชาชน 

ผู้สัมภาษณ์ : อันนี้ก็เลยเป็นสาเหตุทำให้โดนเป็น  1  ใน  18 ผู้ต้องหา 6 ตุลา
คุณเสรี : ก็เกือบตายไปแล้ว  ผมอยู่ที่ตึกอมธ. ของธรรมศาสตร์  มันยิงเข้าไปบอกว่าลงไปให้หมด  ไม่งั้นตายหมดนะ  ผมก็เลยหนีไปอยู่ที่ตึกอเนกประสงค์  ตามล่าอีก  เลยต้องไปโดนถอดเสื้ออยู่หน้านึกรัฐศาสตร์  มันเตรียมรถมาแล้วเป็น  10ๆ  คันจับไป  3,000  กว่าคน

ผู้สัมภาษณ์ : ตอนนั้นเขาพาไปที่ไหนบ้าง
คุณเสรี : บางเขน  เรือนจำบางเขน  ไปทั้งถอดเสื้ออย่างนั้นแหละ ร.ร. พลตำรวจ, นครปฐม , และชลบุรี

ผู้สัมภาษณ์ : มันมีไปที่โรงเรียนนายสิบ
คุณเสรี : โรงเรียนพลตำรวจบางเขน

ผู้สัมภาษณ์ : คือไปที่นั่นก่อนแล้วเขาแยกใช่ไหม
คุณเสรี : ตอนหลังเขาคัดไว้  18  คนไง  สุธรรมเขาหัวหน้าทีม  น้องเสงี่ยมกับน้องสุจิราก็ทัตสถานหญิง  คือที่ไปขังไว้มากที่สุดคือบางเขน  และที่โรงเรียนพลตำรวจที่ชลบุรี  และที่นครปฐม

ผู้สัมภาษณ์ : แล้วตอนแรกลุงไปที่ไหน
คุณเสรี : ผมอยู่บางเขนตลอด  ถูกขังบางเขนตลอด  2  ปีอยู่บางเขน  มาขึ้นศาลที่กระทรวงกลาโหม  แล้วตอนหลังศาลต้องย้ายไปอยู่กรมพลาธิการ  เพราะเวลาเราขึ้นศาลแต่ละครั้งประชาชนไปเยอะเป็นกำลังใจเป็น  1,000  คน เลยต้องย้ายไปที่นนทบุรีประชาชนยังตามไปอีกนะ  ไปกางเต้นท์  ไปโบกธงชาติเล็ก ๆ เวลารถจำเลยผ่าน  มีการให้กำลังใจ  มีประชาชนต้องชนะ  มีไชโย  มีร้องเพลงสดุดี  14  ตุลาคม

ผู้สัมภาษณ์ : ตอนนั้นพอเขาคัดเหลือ  18  คน  16  คนเป็นผู้ชายต้องอยู่แดนเดียวกัน  อยู่ห้องเดียวกันรึเปล่า
คุณเสรี : อืม  ธงชัย  วินิตกุล  ประยูร  อัตรบวร  คงศักดิ์ อาสาพรรค  สมศักดิ์  อยู่ที่บางเขนมากกว่าอยู่ที่บางขวาง  ผู้สัมภาษณ์ : ก็คือเขาแยกขัง
คุณเสรี : แยกขังไง  ไปเจอกันเวลาขึ้นศาลเท่านั้น

ผู้สัมภาษณ์ : ผมถามเรื่องความเห็นทางการเมือง  เอาย้อนตั้งแต่เด็กๆทำไมลุงสนใจการเมือง
คุณเสรี : ผมเป็นนักเรียนที่ชอบอ่านหนังสือ  ชอบคลุกคลีในห้องสมุด  และชอบครูที่สอนแบบประยุกต์หน่อย  คือสอนการเมืองบ้างตามภาวะของนักเรียน  ผมชอบตั้งแต่นู้น  และเจ้าของโรงเรียนเป็นนักการเมือง  ชอบเล่าเรื่องการเมืองให้นักเรียนฟัง

ผู้สัมภาษณ์ : แล้วที่บ้านพ่อหรือพี่น้อง  ลุงมีพี่น้องไหม
คุณเสรี : มีพี่น้อง  7  คน 

ผู้สัมภาษณ์ : ลุงเป็นคนที่เท่าไร
คุณเสรี : ผมเป็นคนที่  4  คนโตถูกยิงตาย  ถูกตำรวจยิงตาย  เขาไปทางนักเลงหน่อย  ระดับไอ้เสือ สู้กับ  ตำรวจถูกยิงตาย 

ผู้สัมภาษณ์ : แล้วพี่น้อง  พ่อแม่  มีใครสนใจการเมืองหรืออะไรอย่างนี้รึเปล่า
คุณเสรี : ก็มีบ้าง  แต่ไม่เข้มข้นเหมือนผม  น้องผมก็เป็นสหกรณ์จังหวัดอยู่นครศรีธรรมราช  ตอนนี้เกษียณแล้ว  ไอ้นี่จบเศรษฐศาสตร์สหกรณ์  จาก ม. เกษตรศาสตร์ ตอนหลังผลประโยชน์มันดีขึ้นเปลี่ยนชนชั้นไปเลย

ผู้สัมภาษณ์ : แล้วเมื่อกี้ผมถามมุมมองเกี่ยวกับ  14  ตุลาไปแล้ว ถ้าเกิดผมให้ลุงจำกัดความ  14  ตุลาสั้นๆ  ลุงจะจำกัดว่า
คุณเสรี : ผมคิดว่า  14  ตุลา  วันมหาประชาชน  วันที่ประชาชนได้แสดงพลังออกมาด้วยความบริสุทธิ์  และถูกปราบปรามด้วยเผด็จการ

ผู้สัมภาษณ์ : ที่เขาบอกว่ามีพคท. เข้าไปนำ  เข้าไป
คุณเสรี : อันนี้ลึกๆ  ผมไม่ทราบ  อาจจะมี  เพราะช่วงนั้นพคท.  เขาผลึกกำลังกัน  แต่ความคิดแตกต่างในยุทธวิธี ผกท.ก็มีตามข่าวนะ  เท่าที่ผมพอทราบ

ผู้สัมภาษณ์ : ผมถามเรื่อง  6  ตุลาบ้าง  ผมถามแล้วว่า  14  ตุลามันส่งผลต่อสังคมไทยอย่างไรบ้าง  ที่นี้  6  ตุลามันส่งผล  โอเคด้านหนึ่งมันทำให้ประชาธิปไตยเบ่งบาน แต่ว่ามันส่งผลอื่นต่อสังคมไทยไหม
คุณเสรี : ผมคิดว่าการพัฒนาทางความคิดทางด้านการเมือง  ผมคิดว่าดีขึ้น  ประชาชนเข้าใจยุทธวิธีของเผด็จการมากยิ่งขึ้น  บทเรียนจาก  14  ตุลา  16

ผู้สัมภาษณ์ : แล้วถ้าให้คำจำกัดความ  เมื่อกี้ลุงให้คำจำกัดความ  14  ตุลาว่าเป็นวันลุกขึ้นสู้  แล้วถ้าเป็น  6  ตุลาล่ะครับ
คุณเสรี : วันต่อต้านเผด็จการ ถนอม, ประภาส, ณรงค์ แต่เราถูกปราบ  ตายไปเยอะ  ตายเป็นร้อย  ไม่ใช่อย่างที่ให้สัมภาษณ์  ผมอยู่ตึกอมท.  เห็นคนถูกยิง  ล้มอย่าง  เห็นเลือดสด ๆ เห็นผู้หญิงถูกไล่ต้อนขึ้นตึกและถูกลากลงมา และก็เอาลิ่มตรอกร่างเปลือยเปล่า

ผู้สัมภาษณ์ : ผมถามเรื่องการเมืองปัจจุบันนิดหนึ่ง  พูดถึงคนเดือนตุลาก่อนแล้วกัน  คือคนเดือนตุลา  ผมเรียกรวมๆคนเดือนตุลา  เมื่อก่อนก็คือว่าอยู่ฝ่ายเดียวกัน  มีแกนความคิดอะไรหลายๆ  คล้ายๆกัน  แต่พอมาถึงเรื่องมีเสื้อเหลือง  เสื้อแดง  คนเดือนตุลาก็ไปอยู่ทั้ง  2  ฝ่าย  ฝ่ายรัฐ  คนสมัยนู้นก็อยู่  2  ฝ่ายเหมือนกัน  ลุงมองปรากฏการณ์นี้อย่างไรบ้าง
คุณเสรี : ผมมองว่าส่วนใหญ่คนเดือนตุลาคงจะยึดมั่นในอุดมคติเหมือนเดิม  บางคนเท่านั้นที่ความคิดเขา  อาจจะฐานะทางเศรษฐกิจเขาดีขึ้น  คนเราพอภาวะเศรษฐกิจเปลี่ยนความคิดก็เปลี่ยน  ไม่เหมือนตอนต่อสู้  เช้าเย็น  บางคนแทบไม่มีที่นอนที่กิน  ก็มีอยู่ไม่กี่คนที่เขาลืมเรื่องเก่าๆ  คือทำตัวอีกอย่าง  มีไม่กี่คน ส่วนใหญ่ยังยึดมั่นในอุดมการณ์  14  ตุลาคม 16

ผู้สัมภาษณ์ : ลุงมองว่าความขัดแย้งรอบนี้จะจบอย่างไร
คุณเสรี : ผมคิดว่าความขัดแย้งอยู่ที่พลังของประชาชน  ประชาชนยังสู้  ยังแน่วแน่  อย่างวันที่  6  ที่ผ่านมา  ก็ยังมารับทราบ  ก็แสดงความจริงใจที่มีต่อระบบประชาธิปไตยๆมันไม่มีในปัจจุบัน  สภาก็สภาโลเล  เฉไฉ มันพึ่งไม่ได้  ระบบรัฐสภาพึ่งไม่ได้  ต้องมีพรรคการเมืองที่ยึดมั่นในแนวทางประชาชนอย่างชัดเจน  การปฏิวัติทั่วโลกต้องมีพรรคที่เป็นของประชาชนอย่างแท้จริง  มีพรรค  มีกองกำลัง  มีแนวร่วม

ผู้สัมภาษณ์ : หมายความว่าพรรคเพื่อไทยยังไม่พร้อม  ยังไม่ใช่
คุณเสรี : ผมคิดว่ายังไม่  100%  ยังมีกลุ่มทุนเข้าไปอยู่ในพรรคด้วย  ยังไม่จริงๆใจ  100%  แต่ดีกว่าพรรคอื่น

ผู้สัมภาษณ์ : ลุงคิดว่าประชาธิปไตยไทยยังมีหวังอยู่ไหม
คุณเสรี : ผมว่ายังมี  ถ้ามันเกิดว่ายุบสภาแล้วเลือกตั้งใหม่  อันนั้นเป็นเครื่องวัดว่าอนาคตของประเทศชาติคืออะไร  ถ้ามียุบสภาแล้วมีเลือกตั้งใหม่  ถ้าอภิสิทธิ์มันถึงขั้นที่ต้องยุบสภาเพื่อการอยู่รอดของพรรคประชาธิปัตย์  ถ้าลงเลือกตั้งก็แพ้อีก ถึงไม่มีการยุบสภา  มันกลัวแพ้  ผมคิดว่าแพ้พรรคเพื่อไทยแน่ๆ  กฎหมายที่ว่าจะปลดปล่อย  111  คน  ที่เขาถูกดองไว้ตั้ง  5  ปี  ที่ไม่ให้เคลื่อนไหวทางการเมือง

                สู้เพื่อประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ตามหลักการของคณะราษฎร์ เมื่อ 2475 ผมจะสู้เพื่อประชาธิปไตยตลอดชีวิต ครับ



จบการสัมภาษณ์