Hollister France

Hollister France

Hollister France

Hollister France

Hollister France

Hollister

Hollister

Hollister

Hollister

Hollister

Hollister

Hollister

Woolrich Outlet

Woolrich

hogan

hogan

hogan

Hogan Sito Ufficiale Hogan Scarpe Hogan Outlet Hogan Scarpe Hogan Hogan Scarpe Hogan Interactive Hogan Donna Scarpe 2013 Hogan Scarpe Outlet Hogan Vendita Hogan Hogan Scarpe 2013 Hogan Scarpe Hogan Scarpe Hogan Hogan Outlet Hogan Scarpe Outlet Hogan Scarpe Donna Hogan Scarpe Hogan Outlet Scarpe Hogan Hogan Sito Ufficiale Scarpe Hogan2013 Hogan Hogan Scarpe Donna Hogan Scarpe Donna Hogan Interactive Hogan 2013 Hogan Online Hogan Italia Hogan Scarpe
woolrich ASK Hollister Hollister abercrombie abercrombie abercrombie abercrombie woolrich parka Hollister Holliter France Hollister Hollister France Magasin Vetement Hollister Hollister Soldes Hollister Pas Cher Pas Cher Hollister Hollister Vente Hollister En ligne Hollister 2013 Hollister France Hollister France 2013 Hollister Hollister Hollister Magasin Hollister Vente Hollister Homme Hollister Pas Cher Hollister T Shirts Hollister Paris Boutique Hollister Vetements Boutique Hollister Pas Cher Pas Cher Hollister Hollister Hommes Hollister France Vente Hollister Hollister sortie 2013 Pas Cher Hollister Hollister Pas Cher

บทสัมภาษณ์ - สมพงษ์ ทดแทนคุณ
วันที่ : 26 มิถุนายน 2552
เวลา : 10.46 น.
สถานที่ : โรงเรียนฝึกอาชีพกรุงเทพมหานคร (บางรัก)
ผู้สัมภาษณ์ : เทวฤทธิ์ มณีฉาย
                       จิตตรา  คชเดช

ตามโครงการของมูลนิธิ 14 ตุลา ในการรวบรวมปากคำของคนที่อยู่ในเหตุการณ์ เพื่อจัดทำเป็นฐานข้อมูลเพื่อการศึกษาต่อไป



เริ่มสัมภาษณ์

ผู้สัมภาษณ์ : ขอเริ่มจากภูมิหลังของคุณสมพงษ์ก่อนเลยนะครับ คุณสมพงษ์เกิดพ.ศ.ไหนครับ
คุณสมพงษ์ : ผมเกิดวันที่ 27 กรกฎาคม 2499

ผู้สัมภาษณ์ : พื้นเพเป็นคนจังหวัดอะไรครับ
คุณสมพงษ์ : พื้นเพเป็นคนกรุงเทพ เกิดที่บางยี่เรือนี้เอง แต่คุณพ่อเป็นคนสระบุรี คุณแม่เป็นคนอยุธยา มีพี่น้องพ่อแม่เดียวกัน 4 คนผมเป็นคนสุดท้าย มีพี่สาว3คน

ผู้สัมภาษณ์ : ครอบครัวประกอบอาชีพอะไรครับเริ่มต้น
คุณสมพงษ์ : คุณพ่อเป็นข้าราชการบำนาญ กรมประชาสงเคราะห์กระทรวงมหาดไทย ตอนท่านเกษียณก็ตอนนั้นตำแหน่งท่านเป็นหัวหน้าผู้ตรวจราชการกรม รับราชการมาตั้งแต่อายุ 18 ปี ตัวคุณปู่เองก็เป็นมหาดเล็กในวัง สมัยร.6

ผู้สัมภาษณ์ : ช่วงนั้นคุณสมพงษ์ได้เรียนหรือได้รับการศึกษาที่ไหนบ้างคะ
คุณสมพงษ์ : ผมเรียนชั้นเตรียมป.1 แต่ก่อนมันเป็นเตรียมป.1นะที่โรงเรียนสัตย์สงวนวิทยาแถวราชวัตร แล้วก็มาเรียนที่โรงเรียนจำนงวิทยาที่ดินแดงก็จบป.7ที่นั่น แล้วก็ไปสอบเข้าโรงเรียนวัดราชาธิวาสที่สามเสน ตรงนั้นก็เรียนถึงมศ.3 แล้วเหตุการณ์14ตุลาก็เกิดระหว่างผมจะจบมศ.3 ใกล้ๆจะจบ ซึ่งตอนนั้นก็ถือว่ายังเด็กอยู่นะ มัธยมศึกษาปีที่สาม แต่ก่อนเค้าไม่เรียก ม. นะ เค้าเรียก มศ. ระหว่างที่ผมเรียนที่วัดราชา มศ.2 มศ.3 ระหว่างนั้นผมก็จะฝึกวิชาลูกเสือมาเรื่อย แต่ก่อนโรงเรียนวัดราชาขึ้นชื่อมากสำหรับวิชาลูกเสือ ซึ่งมีระบบรุ่นพี่รุ่นน้องที่ปฏิบัติกันมาอย่างมั่นคงเลยนะ
ผู้สัมภาษณ์ : ตอนนั้นที่โรงเรียนนอกจากกิจกรรมลูกเสือแล้วมีกิจกรรมคุยเรื่องการเมืองอะไรไหมคะ
คุณสมพงษ์ : สมัยนั้น การเมืองไม่ค่อยคุยในโรงเรียนเท่าไหร่นะครับตอนนั้น จะมีก็แค่กิจกรรมกีฬาแล้วก็กิจกรรมลูกเสือ ผมเองก็เป็นนักกีฬาโรงเรียนด้วย นักบาสแต่ก่อน ทางด้านการเมืองนี่ไม่ค่อยสนใจมากนัก

ผู้สัมภาษณ์ : ส่วนตัวท่านนี่สนใจไหมคะ
คุณสมพงษ์ : ตอนนั้นก็สนใจ เพราะว่าบังเอิญคุณพ่อเค้าไปช่วยคุณลุงที่เป็นพี่ชายแม่เลี้ยง ก็คือร้อยตำรวจโทชาญ มนูญธรรม ไม่ทราบเคยได้ยินกันไหมเป็นนักการเมืองรุ่นเก่าแล้วซึ่งเป็นวิปรัฐบาลสมัยนู้น ตอนนั้นเค้าก็จะหาเสียงไงผมก็ไปช่วยเค้าแจกแผ่นพับใบปลิวอะไรอย่างนี้ด้วย ตอนเรียนประมาณปี 2518

ผู้สัมภาษณ์ : ตอนนั้นอยู่ มศ.3 ใช่ไหมครับ
คุณสมพงษ์ : ครับต่อเนื่องมา 3 4 5 แต่ผมเป็นนักเรียน ม.4 ม.5ผมไปเรียนวิชาชีพช่างกลที่ช่างอุตสาหกรรมหัวหมาก

ผู้สัมภาษณ์ : ช่วงก่อน14ตุลานี่ท่านได้ยินข่าวอย่างไรบ้าง...
คุณสมพงษ์ : ก็ได้ยินมาตลอด แล้วผมก็ไปร่วมตั้งแต่วันที่13 ช่วงสายๆ 10โมง 11โมง ตอนนั้นไปร่วมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยทางด้านของโรงเรียนสตรีวิทยา ตรงนั้นเค้าจะนั่งกันยาวเหยียดไปหมด ผมก็ไปของผมคนเดียวนะ

ผู้สัมภาษณ์ : ตอนนั้นเป็นชุดนักเรียน...?
คุณสมพงษ์ : ไม่ใช่ชุดนักเรียน ตอนนั้นเป็นชุดธรรมดา เสร็จแล้วพอมืดๆหน่อยก็เคลื่อนมาทางหน้าสวนจิตรบางส่วน ตอนนั้นก็นั่งคุยกันก็ได้เพื่อนใหม่ที่นั่น แต่ก็จำชื่อไม่ได้เพราะว่าเป็นช่วงระยะสั้นๆ
ผู้สัมภาษณ์ : คุยกันเรื่องอะไรครับ

คุณสมพงษ์ : ก็คุยกันเรื่องการเมืองบ้างสัปเพเหระบ้าง คุยกันเรื่องเรียนบ้างอะไรบ้าง จนกระทั่งถึงเช้ามืดของคืนวันที่14

ผู้สัมภาษณ์ : ค้างคืนที่นั่นเลยเหรอครับ
คุณสมพงษ์ : ก็ค้างอยู่ที่นั่น ไม่ได้กางเต็นท์อะไรก็นอนนั่งข้างอยู่ตรงหน้าสวนจิตรนั่นแหละครับ ถึงเช้ามืดก็จำไม่ได้ว่าเวลาเท่าไหร่ แต่จำได้ว่าสว่างใหม่ๆนี่  ปรากฏว่ามีหวอมาจากทางด้านสวนสัตว์ดุสิต พอมานักศึกษาเขาก็ตั้งแถวกึ่งประจันหน้าตรงนี้นั้นเลย ผมก็จะอยู่ปลายๆคนที่หกที่เจ็ดถ้าเทียบความหนาแน่นนะ เสร็จแล้วตำรวจก็ตั้งแถวแต่กี่แถวไม่ทราบมองไปมันเห็นไม่ชัดเจน

ผู้สัมภาษณ์ : ก็คือเผชิญหน้ากัน
คุณสมพงษ์ : ครับ แต่ก็อยู่กันทิ้งระยะนะ ไม่ได้ชิดกัน สักพักก็จะมีรถตำรวจวิ่งหวอมาถ้าจำไม่ผิดจะเป็นมนชัย พันคงชื่นตอนนั้นยศอะไรผมจำไม่ได้ ก็ลงมาตอนนั้น พอลงมาก็เฮโลอย่างไรไม่ทราบ ก็มี ปังปังปังปังปัง ยิงแก็สน้ำตา พอยิงแก็สน้ำตานักศึกษาก็เบียดกันมีคนทะลักลงสองข้างคลอง ผมก็อยู่ตรงกลางๆ เสร็จแล้วก็วิ่งถอยกันนะครับ วิ่งถอยกันก็ตอนนั้นจับพลัดจับผลูอย่างไรไม่ทราบ ตอนนั้นผมก็โดนไม้กระบองฟาดไปที่กลางหลัง เสร็จแล้วผมก็เป็นอะไรไปไม่รู้ลักษณะเหมือนชักลมบ้าหมู ชักก้อยู่ตอนนั้นแล้วพักพวกที่รู้จักหรือไม่รู้จักก็ไม่ทราบตอนนั้นมันเบลอๆก็ถูลากถูกลังถอยล่นไปเรื่อยๆ ตอนนั้นผมได้สติเหมือนกันก็ได้ยินเสียงโครมครามๆ คล้ายๆพวกนักศึกษาไม่พอใจใช้ไม้ตีสัญญาณไฟแล้วก็มีนักศึกษาผู้หญิงบอกอย่าไปทำๆ ผมก็ลากกันไปอยู่สักพักหนึ่งก็ได้ยินว่ามีรถองค์การนิสิตมาแล้ว ก็เลยได้ขึ้นรถไปไปส่งที่โรงพยาบาลรามา หลังจากนั้นก็หลับไปสักพักหนึ่งก็ตื่นมาก็เย็นๆ พอตื่นมาก็มีความรู้สึกว่ามันวุ่นวายไปหมดทั้งโรงพยาบาลเลย เห็นว่ามีพยาบาลวิ่งขึ้นวิ่งลงบันได เรานอนอยู่ตึกที่ชิดกับด้านทางรถไฟก็รู้สึกอย่างนั้น แล้วหมอเค้าก็ให้นอนอยู่คืนหนึ่ง ก็เท่ากับนอนอยู่คืนวันที่14กับ15 พอวันที่16หมอเค้าก็ให้กลับบ้าน หมอก็โทรเรียกผู้ปกครองมารับ น้าๆพี่สาวก็มารับที่หน้าโรงพยาบาล อันนั้นคือเหตุการณ์ช่วงนั้นที่ผมจำได้นะ

ผู้สัมภาษณ์ : ที่เรามานี่ทางบ้านทราบไหมครับ...
คุณสมพงษ์ : ที่ไปใช่ไหมครับ ไม่ทราบครับ

ผู้สัมภาษณ์ : แล้วคิดยังไงถึงได้เข้าไปร่วมครับ
คุณสมพงษ์ : ตอนนั้นคิดยังไงเข้าไปร่วมมันก็ตอบยากเหมือนกันนะ มันนึกไม่ออกแล้วเหมือนกันว่าทำไมเราถึงเข้าไปร่วม

ผู้สัมภาษณ์ : คือเห็นด้วยกับข้อเรียกร้องเค้าหรือเปล่าที่บอกว่าให้มีรัฐธรรมนูญ
คุณสมพงษ์ : อันนั้นเห็นด้วยครับเพราะว่าตอนนั้นนายกรัฐบาลถนอม ตอนนั้นเราก็ได้รับการพูดมาแต่เราก็รู้ไม่หมดรู้จริงบ้างไม่จริงบ้าง

ผู้สัมภาษณ์ : ทางครอบครัวเป็นอย่างไรบ้างเรื่องการเมือง ทางกระแสครอบครัวแล้วเห็นอย่างไรบ้างกับเรื่องนี้
คุณสมพงษ์ : ครอบครัวเค้าไม่ได้พูดถึงกันเลย เพราะว่าก็ไม่ค่อยได้อยู่กับคุณพ่อทุกวัน คุณพ่อกว่าจะกลับก็เย็นเพราะรับราชการ

ผู้สัมภาษณ์ : คุณสมพงษ์บอกว่าได้รับฟังมาบ้างเรื่องการเมือง นี่รับฟังมาจากทางไหนครับ ที่ว่าได้ยินมาจากคุณพ่อที่คุณพ่อไปร่วมกับลุงชาญ
คุณสมพงษ์ : ลุงชาญเค้าเป็นนักการเมืองสมัยนั้นไงครับ ที่ว่าพอหลังจากเหตุการณ์สมัยนี้จบลง cแล้วก็จะมีการเลือกตั้งใช่ไหมเท่าที่จำได้

ผู้สัมภาษณ์ : ขอย้อนกลับไปนิดนึงว่า ช่วงก่อนชุมนุม14ตุลานี่จะมีการชุมนุนของนักศึกษาก่อนใช่ไหมครับ ตอนนั้นคุณได้ทราบข่าวหรือว่าได้ไปเข้าร่วมสังเกตการณ์อะไรไหมครับ
คุณสมพงษ์ : ทราบครับทราบ แต่ว่าที่ไปนี่ไปวันที่13

ผู้สัมภาษณ์ : แต่ก่อนหน้านั้นก็...
คุณสมพงษ์ : ไม่ได้ไปครับ

ผู้สัมภาษณ์ : ไม่มีเพื่อนไปด้วยใช่ไหมครับ
คุณสมพงษ์ : ไม่มีครับ ไปคนเดียว

ผู้สัมภาษณ์ : แล้วช่วงพักค้างคืนนั่นมีอาหารยังไง อยู่ยังไงครับ
คุณสมพงษ์ : ก็มีครับเค้ามีอาหารมาให้

ผู้สัมภาษณ์ : ห้องน้ำละครับ
คุณสมพงษ์ : ผมก็จำไม่ได้ว่าเดินไปเข้าตรงไหนผมก็นึกไม่ค่อยออก

ผู้สัมภาษณ์ : คนเยอะไหมครับที่นอนค้างคืนวันนั้น
คุณสมพงษ์ : ก็เยอะเหมือนกันนะครับ นั่งกันเป็นกลุ่มๆ กะจำนวนลำบากเหมือนกัน แล้วตอนนั้นเราก็ยังดูเด็กอยุ่เลย

ผู้สัมภาษณ์ : ตอนนั้นที่ชุมนุมมีคนชุมนุมพูดอะไรบ้างไหมคะ เพราะคุณตอนนั้นยังเด็กๆอยู่ แล้วมีเพื่อนวัยเดียวกันไหมคะ
คุณสมพงษ์ : ก็มีวัยเดียวกันที่ไปรู้จักตรงนั้นนะ

ผู้สัมภาษณ์ : แล้วคุณสมพงษ์คิดอย่างไรกับความรุนแรงที่เกิดขึ้นครับ ที่ตัวเองประสบด้วย โดนตี
คุณสมพงษ์ : ความจริงมันไม่น่าจะเกิดเลยนะถ้าพูดถึงนี่ เพราะว่านิสิตนักศึกษาเขาจะไปทำอะไรพวกทหารตำรวจได้ พี่ดูแล้วไม่น่าเกิดด้วยซ้ำความจริง ดีที่ว่าผมเขาโรงพยาบาลแล้วถ้าผมอยู่ต่อผมอาจจะไม่มีชีวิตอยู่แล้วก็ได้ ผมอยู่ในโรงพนยาบาลแล้วเหตุการณ์ข้างนอกผมก็ไม่ทราบ ขนาดว่าวันที่16เช้าที่ออกมาแล้วนี่ผมเข้าบ้านญาติไปพักหนึ่งที่ซอยสุคนธราม ก็ยังออกมาอีก ออกมาตรงที่ผ่านฟ้าน่ะเห็นไฟลุกโชนเลยแต่ก็ไม่รู้ว่าจุดนั้นเค้าเกิดอะไรขึ้น เห็นว่ามีไฟลุกมากแล้วก็มีคนวุ่นวายอยู่แถวนั้น

ผู้สัมภาษณ์ : ตอนที่เข้าไปร่วมได้คิดหรือเปล่าว่าจะมีความรุนแรงเกิดขึ้น
คุณสมพงษ์ : ไม่คิดครับ ไม่คิดว่าทางการเขาจะทำ

ผู้สัมภาษณ์ : พอเห็นตำรวจดาหน้าเข้ามาแล้วเราอยู่ในแถวที่เท่าไหร่นะครับ
คุณสมพงษ์ : อยู่ในกลุ่มปึกตรงนั้นครับ แต่ไม่ได้อยู่คนแรกๆนะอยู่คนที่หกที่เจ็ด

ผู้สัมภาษณ์ : รู้สึกอย่างไรบ้างครับตอนนั้น
คุณสมพงษ์ : ก็พอปังๆๆก็หนีกันแล้วครับตอนนั้น ลักษณะว่าถอยร่นกัน

ผู้สัมภาษณ์ : มีคนบอกไหมคะเด็กๆออกไปก่อนหรือเด็กๆไปอยู่ข้างหน้า มีไหมคะ
คุณสมพงษ์ : (หัวเราะ)ไม่มีนะไม่มี

ผู้สัมภาษณ์ : ตำรวจมีการเจรจาอะไรไหมครับ
คุณสมพงษ์ : ไม่มีเลย พอมาถึงเห็นรุ่นพี่พูดว่ามนชัยมาๆ คล้ายๆว่าสั่งลุย ก็ลงมือเลยใช้กระบองดันตีแล้วก้ยิงแก็สน้ำตา

ผู้สัมภาษณ์ : ตอนนั้นวันที่เท่าไหร่นะครับ
คุณสมพงษ์ : เช้าวันที่14 ตรงถนนหน้าสวนจิตร ตรงข้ามสวนสัตว์ดุสิตแต่ไม่ถึงสวนสัตว์

ผู้สัมภาษณ์ : วันนั้นเหตุการณ์มันจะคลี่คลายแล้วหรือเปล่าครับตรงนั้น หรือว่าเพิ่งเริ่มต้นของความรุนแรง มีความรุนแรงก่อนหน้านั้นไหมครับ
คุณสมพงษ์ : ไม่มีนะ นี่เริ่มต้นเลยจุดแรก

ผู้สัมภาษณ์ : ตำรวจเองก็ไม่ได้มีการพูดผ่านโทรโข่งหรืออะไรมากบอกทางพวกเราเลยเหรอคะ
คุณสมพงษ์ : ผมไม่ได้ยินน่ะครับ

ผู้สัมภาษณ์ : แล้วนักศึกษาได้พูดอะไรผ่านโทรโข่งไปไหมคะ
คุณสมพงษ์ : ตอนนั้นแกนนำรู้สึกจะไม่อยู่มั้ง เพราะมันเช้ามืดมันเช้าใหม่ๆนี่ เพิ่งสว่าง

ผู้สัมภาษณ์ : ไม่มีใครเป็นแกนนำ...
คุณสมพงษ์ : ไม่มีนะ หรือว่าอยู่ที่ไหนผมก็ไม่ทราบหรืออยู่ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยผมก็ไม่แน่ใจ

ผู้สัมภาษณ์ : การตัดสินใจไปประจันหน้านี่มีคำสั่งมาจากใครหรือเปล่าครับ
คุณสมพงษ์ : ผมก็จำไม่ได้แต่ก็เดินๆตามกันมาครับ นักศึกษาที่อยู่ที่ต่างๆก็เดินตามกันมา แต่มีอีกส่วนหนึ่งจุดอื่นผมไม่ทราบว่าอยู่ตรงไหนบ้าง

ผู้สัมภาษณ์ : เป้าหมายที่เราเดินไปตรงนั้นคือต้องการ...?
คุณสมพงษ์ : อันนี้ผมก็ไม่ชัดเจนครับว่าแกนนำมีความคิดต้องการอะไรอย่างไร

ผู้สัมภาษณ์ : ประมาณกี่คนได้ครับที่อยู่บริเวณตรงนั้นทราบไหมครับ
คุณสมพงษ์ : ถ้าตลอดแนวนั้นไปจนถึงทางแยกมันก็น่าจะเป็นพัน

ผู้สัมภาษณ์ : กลุ่มคนที่เดินอยู่ใกล้ๆคุณสมพงษ์ตอนนั้นมีอะไรอยู่ในมือไหมคะ
คุณสมพงษ์ : ก็มีตอนหลังที่ผมบอกได้ยินตอนผมกึ่งสลบกึ่งตื่น ได้ยินโครมครามๆตีสิ่งของอะไรอย่างนี้ ก็มีผู้หญิงตะโกนบอกอย่าๆไปทำของ

ผู้สัมภาษณ์ : แต่ที่ระหว่างเดินไปนี่ในมือของแต่ละคนไม่ได้มีอะไร...?
คุณสมพงษ์ : ช่วงแรกไม่ได้มีไม่เห็นครับ

ผู้สัมภาษณ์ : ตอนประจันหน้าตำรวจก็ไม่ได้มีอะไร
คุณสมพงษ์ : ก็ไม่มีอะไร

ผู้สัมภาษณ์ : แต่ฝ่ายตำรวจมีอะไรบ้างคะ เท่าที่มองเห็น
คุณสมพงษ์ :ก็กระบองไงที่มองเห็น ตอนนั้นผมเองก็เด็กก็มองไม่ถนัด ความที่จะจับจุดอะไรสักอย่างมันยังไม่มีครับสมองวัยขนาดนั้น

ผู้สัมภาษณ์: แล้วตอนช่วงห่างกัน มีแผงเหล็กเหมือนสมัยนี้ไหมคะ
คุณสมพงษ์: ผมไม่เห็นนะ มี ไม่มีนั้นตอบไม่ชัดเจนเดี๋ยวจะผิด แต่ว่าผมไม่เห็น อาจจะเป็นด้วยผมไม่สังเกตหรือมันไม่มีก็ไม่ทราบ

ผู้สัมภาษณ์: ตอนเริ่มนี้ใครเปิดก่อน ทางตำรวจมาเปิดก่อน มาตีเราก่อนเลยใช่ไหมครับ
คุณสมพงษ์: คือ...ตั้งแถวแล้วก็ดันกัน พอดันกันปั๊ปก็ตีด้วยไม้กระบอง กระบองก็สั้นก็เลยร่นกันมา ร่นกันมาแล้วก็ยิงปังๆๆๆ เป็นแก๊สน้ำตา ตำรวจเป็นคนดันเข้ามา

ผู้สัมภาษณ์: พอโดนแก๊สน้ำตา ทุกคนก็เลยลงข้างทาง?
คุณสมพงษ์: ตั้งแต่แรกบางส่วนก็ปริออกข้างๆ สักพักนึงผมมองมันวูบเดียวก็ “ปั๊ก” กลางหลัง (หัวเราะ) เลยรู้เหตุการณ์ได้น้อยเพราะว่าดันเข้าโรงพยาบาลเป็นคนแรกเลย พอรู้สึกตัวอีกทีก็เย็นๆ

ผู้สัมภาษณ์: ตอนนั้นก็สลบไปเลยใช่ไหมครับ
คุณสมพงษ์: มันก็ไม่ถึงกับสลบ คล้ายกับว่าเมื่อคืนเราไม่ได้พักผ่อนเต็มที่ก็เลยนอนหลับไปเลยหรือว่าหมอให้ยานอนหลับผมก็ไม่ทราบก็เลยมาตื่นมาตอนช่วงเย็น

ผู้สัมภาษณ์: คุณสมพงษ์คิดว่าวันที่เกิดเรื่องฝ่ายไหนเป็นฝ่ายทำให้เกิดเรื่อง?
คุณสมพงษ์: มันก็ตอบยากนะ สำหรับนักเรียนนักศึกษาบางส่วนที่รู้ข้อมูลไม่หมด ไม่ครบ มันก็ตอบยาก มันต้องเป็นระดับแกนนำถึงจะรู้ว่าฝ่ายไหนกระทำอะไร อย่างไร ผมเองก็ข้อมูลน้อยเพราะว่าเพิ่งไปร่วมครั้งแรกด้วย

ผู้สัมภาษณ์: หมายความว่า ถ้าวันนั้นตำรวจไม่ดัน ไม่ตี หรือนักศึกษานั่งเฉยๆ คิดว่าจะมีเรื่องไหม
คุณสมพงษ์: ไม่น่าจะมีเรื่อง แต่ผมจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่า แกนนำนักศึกษาเขายื่นข้อเสนออะไรสักอย่างกับรัฐบาลแล้วก็มาอยู่กันหน้าสวนจิตรฯ แต่ผมก็จำไม่ได้ว่ายื่นข้อเสนอว่าอะไร

ผู้สัมภาษณ์: ตอนนั้นคุณสมพงษ์ตัดสินใจอย่างไรว่าจะเข้าไปร่วม
คุณสมพงษ์: คือ อยากเข้าไปร่วมด้วย คือเราชวนเพื่อนแล้วเพื่อนมันไม่ไป เราก็ไปคนเดียวก็ได้ลักษณะนั้น

ผู้สัมภาษณ์: แล้วที่วันนั้นไปเจอเพื่อน ได้คุยกัน เพื่อนที่อายุไล่เลี่ยกันเขามาจากที่ไหนกันบ้าง
คุณสมพงษ์: ก็มีเพื่อผู้หญิงอยู่คนหนึ่ง เขาเรียนพาณิชย์เจ้าพระยาแถวนั้น ชื่อก็ไม่ได้ถามหรือว่าถามแล้วแต่ผมจำไม่ได้ก็ไม่รู้เพราะว่ามันนานมากแล้ว ก็เป็นห่วงเขาเพราะเช้าขึ้นมาเขาบอกว่าจะกลับบ้าน ผมก็เลยเดินไปส่งเขาที่หน้าโคลีเซียม (23:57) ก่อนแล้วหลังจากนั้นผมก็กลับมาที่เดิม แล้วก็มาเจอเหตุการณ์เป็นเพื่อนที่เพิ่งไปรู้จักกันที่เดิน

ผู้สัมภาษณ์: ได้ติดต่อกันบ้างไหม
คุณสมพงษ์: ไม่ได้ติดต่อกันเลย สมัยนั้นมันไม่มีโทรศัพท์มือถือ เลยไม่ได้ขอเบอร์ (หัวเราะ) ทำไมถึงไม่ได้ติดต่อกันก็ไม่ทราบ จำเหตุผลไม่ได้เหมือนกัน

ผู้สัมภาษณ์: คราวนี้ เอาวันที่คุณสมพงษ์ออกจากโรงพยาบาลแล้วก็กลับไปอยู่บ้านญาติ
คุณสมพงษ์: ไปอยู่บ้านย่า แล้วก็ออกมาอีก ตอนเย็นๆ วันที่ 16 ออกมาดูอีกตรงถนนผ่านฟ้า คราวนี้มองอยู่ห่างๆ มองไปไกลๆ ไฟก็ลุกโชนอยู่ ควันก็ดำ ผู้คนก็เยอะแต่ก็ไม่รู้ว่าใครเป็นใครบ้าง

ผู้สัมภาษณ์: แล้วเห็นทหารหรือตำรวจไหมคะ
คุณสมพงษ์: ไม่เห็นนะ ผมอาจจะขาดการสังเกตรึเปล่าไม่แน่ใจ

ผู้สัมภาษณ์: คนก็ยังชุมนุมอยู่ประมาณเท่าไรคะ
คุณสมพงษ์: ช่วงที่ผมเห็นที่ผ่านฟ้า มันไม่ใช่นิสิตนักศึกษาแล้วนะ เพราะแต่งตัวธรรมดา น่าจะเป็นประชาชนทั่วไปมากกว่า คนเยอะกะประมาณไม่ได้ ตอนนั้นไม่รู้ว่าเขาทำอะไรกันอยู่ เขาไม่ได้ยืนเฉยๆ แต่มีลักษณะวุ่นวาย

ผู้สัมภาษณ์: ไปอยู่ที่ผ่านฟ้านานไหมครับ
คุณสมพงษ์: ไม่นานครับ ดูแล้วก็กลับ ไม่คิดว่าจะไปเข้าร่วมอีกก็กล้าๆ กลัวๆ แต่ตั้งใจจะไปสังเกตการณ์ดูว่ามีอะไรต่อเนื่องอย่างไรรึเปล่า แล้วก็กลับ ย่าก็เลยส่งกลับบ้านพ่อที่พระโขนง พอกลับมาที่บ้านพ่อก็ปรากฎว่าเขาประกาศข่าวให้ลูกเสือไปที่ตั้งของตัวเอง ผมก็จำไม่ได้ว่าวันไหน พอถัดมาอีกวันสองวันก็ไปรวมกลุ่มกันที่โรงเรียนวัดราชาก็ไปเป็นลูกเสือโดยแต่งชุดลูกเสืออกไปเลย ตอนนั้นเหตุการณ์วุ่นวายก็ยังอยู่ พอผมออกไปหน้าบ้านรถปิ๊กอัพที่วิ่งผ่านไปผ่านมาก็รับผมออกไปปากซอยเลย เขาคงรู้เหตุการณ์เห็นแต่งชุดลูกเสือมาแล้ว คือทางโรงเรียนเขาเรียกให้ไปช่วย คือเราก็ไปเป่าจราจรแทนตำรวจตรงถนนสามเสนตลอดแนวเลย คือยืนอำนวยความสะดวกด้านจราจรบนถนนสามเสนทุกวันในช่วงนั้นประมาณอาทิตย์หนึ่ง ตอนนั้นมีอาจารย์ใหญ่ชื่อ จรัญ โสตถิพันธุ์ (27:30) ท่านก็เลี้ยงข้าวเลี้ยงน้ำอย่างดี ไปทำช่วงเช้าแล้วก็เข้าเรียน ตอนเย็นก็อีกช่วงหนึ่ง

ผู้สัมภาษณ์: สงสัยไหมว่าทำไมเราต้องมาทำอย่างนี้
คุณสมพงษ์: ก็รู้เหตุการณ์ ตอนนั้นตำรวจไม่รู้ไปไหนหมดแล้ว ไม่เคยเห็นตำรวจเลย สถาพบ้านเมืองตอนนั้นผู้คนเขาก็ใช้ชีวิตกันตามปกติ อาจจะเป็นบางจุดที่ไม่กล้าเข้าไปกัน

ผู้สัมภาษณ์: คุณสมพงษ์ทราบข่าวว่ามีคนตายตอนไหนคะ
คุณสมพงษ์: ตอนหลังครับ ติดตามอ่านจากหนังสือพิมพ์ ช่วงที่อยู่ที่รามาก็ยังไม่ทราบแต่ก็วุ่นวายกันทั้งโรงพยาบาล คนเข้าไปรามาเยอะนะ ช่วงเย็นวันนั้นวุ่นวายไปหมดเลย ผมก็คิดว่ามีคนตายแน่นอน คนที่ตกน้ำไปข้างๆ 2 ข้าง ที่ตกไปก็เพราะถูกดัน แถวนั้นน้ำไม่น่าจะลึกนะ แต่จะถูกจับ ถูกอะไรไปรึเปล่าผมก็ไม่รู้

ผู้สัมภาษณ์: แล้วได้รับค่าชดเชยอะไรไหมครับ
คุณสมพงษ์: ผมอยู่โรงพยาบาลแค่ 2 คืน แต่เขาบอกว่าต้องอยู่โรงพยายบาล 3 คืนถึงได้รับค่าชดเชย ค่าใช้จ่ายของผมก็ไม่ต้องเสีย หมอบริการดีและกระตือรือร้นมาก

ผู้สัมภาษณ์: คุณสมพงษ์ได้รับบาดเจ็บอย่างไรคะ ข้างหลังเป็นรอยเลยใช่ไหมคะ
คุณสมพงษ์: ลักษณะแบบโดนครับ อาจจะประกอบกับผมชักคล้ายเป็นลมบ้าหมูด้วย อาจจะพักผ่อนน้อยด้วย ข้างหลังผมก็มองไม่เห็นว่าถูกฟาดเป็นหรือไม่ สักพักพอวิ่งต่อไม่ไหวก็เป็นลมบ้าหมูแล้วชัก พรรคพวกก็หามกันทุลักทุเล ก็โชคดีที่แถวนี้มีรถของนิสิตนักศึกษาบางส่วนมา ก็คงจะรู้เหตุการณ์แล้วก็เลยตีรถมาช่วยรึเปล่าก็ไม่รู้นะ

ผู้สัมภาษณ์: แล้วตอนไปโบกสัญญาณไฟอำนวยความสะดวกทำอยู่นานไหมครับ แล้วผลตอบรับจากประชาชนกับลูกเสือเป็นอย่างไรบ้าง
คุณสมพงษ์: ประมาณสัปดาห์นึงครับ ผลตอบรับก็ดีมาก ดีกว่าตำรวจอีก (หัวเราะ) เพราะไม่จับ ไม่ปรับ ทำอยู่ตรงสามแยกหน้าโรงเรียน บางคนก็ไปตามจุดอย่างที่เทเวศน์ ที่เซนต์คาเบรียล กับท่าวาสุกรี

ผู้สัมภาษณ์: ช่วงนั้นก็ปิดเรียนหรือว่าไงครับ
คุณสมพงษ์: ก็เรียนตามปกตินะ แต่ช่วงแรกผมจำได้ว่ามันปิดนะ แล้วก็มาเปิดตามปกติ ผมจำไม่ได้ว่าปิดกี่วัน

ผู้สัมภาษณ์: เพื่อนของคุณสมพงษ์ที่เป็นลูกเสือออกไปบริการนี้เยอะไหมคะ มีประมาณกี่คน
คุณสมพงษ์: ยี่สิบกว่าคน

ผู้สัมภาษณ์: ผมเคยเห็นภาพในวีดีโอลูกเสือโบกรถอยู่ ใช่คุณสมพงษ์รึเปล่าครับ
คุณสมพงษ์: ต้องเอาวีดีโอมาดูที่ตัวเตี้ยๆ (หัวเราะ) ที่หน้าวัดราชารึเปล่า ถ้าหน้าวัดราชาก็อาจจะใช่ ถ้าเอาวีดีโอมาให้ดูก็จะนึกออกว่าเป็นลูกเสือวัดราชาเพราะจำหน้าได้ จะมีรุ่นพี่ รุ่นน้อง เท่าที่คุยๆ กันก็มีผมกับรุ่นพี่บางคนที่เข้าไปร่วมกับเหตุการณ์ 14 ตุลา บางคนที่ไปโบกก็ไม่ได้เข้าร่วม

ผู้สัมภาษณ์: ตอนนั้นเห็นคนเอากล้องไปถ่ายรูป ถ่ายวีดีโอไหมครับ
คุณสมพงษ์: ไม่ทราบเหมือนกันครับ ต้องไปดูว่าถนนสามเสน หน้าวัดราชารึเปล่า

ผู้สัมภาษณ์: คนที่ผ่านไปผ่านมาเขาพูดอะไรกันบ้าง
คุณสมพงษ์: ผมจำไม่ได้ แต่หลังจากช่วงอำนวยความสะดวกด้านจราจร พอเขามีคำสั่งให้เลิกก็จะมีตำรวจมาดำเนินการตามปกติ

ผู้สัมภาษณ์: หลังจากกลับมาเรียนตามปกติแล้ว เรื่องการเมือง เราสนใจการเมืองมากขึ้นไหม
คุณสมพงษ์: มันก็ก้ำกึ่งนะ ก็ยังติดตามอยู่แต่ก็ไม่ถึงกับว่าจะไปซีเรียสกับมัน คล้ายกับว่าติดตามดูห่างๆ

ผู้สัมภาษณ์: พอดีช่วงนั้นมีตำรวจหรือมีใครมาติดตามไหม
คุณสมพงษ์: ไม่มีๆ ไม่มีใครมาคุกคาม ผมไม่ใช่แกนนำก็แค่นักเรียนธรรมดาคนหนึ่ง เขาคงไม่มาเสียกำลังตรงนี้ เขาก็ต้องเอากำลังไปติดตามระดับแกนนำ

ผู้สัมภาษณ์: ในโรงเรียนมีการคุยเรื่องการเมืองมากขึ้นไหมคะ
คุณสมพงษ์: ก็มีครับ แต่ก็ไม่ถึงกับมากจนถึงขั้นที่เกาะกลุ่มอะไรแบบนี้

ผู้สัมภาษณ์: มีเพื่อนในโรงเรียนมาถามบ้างไหม
คุณสมพงษ์: เพื่อนบางคนก็ไม่รู้ เราก็แค่มาคุยกันทีหลัง เพียงแค่พูดกันว่า เฮ้ย! กูไปนอนโรงบาลมานะ (หัวเราะ) ก็เล่นกันสนุกๆไป มีชื่อลงหนังสือพิมพ์ตรงรายชื่อผู้ที่เข้าโรงพยาบาลน่ะ

ผู้สัมภาษณ์: หลังจากที่อยู่โรงเรียนวัดราชาแล้วไปเรียนต่อที่ไหนคะ
คุณสมพงษ์: ก็ไปเรียนที่โรงเรียนช่างอุตสาหกรรมกรุงเทพที่หัวหมาก พอเข้ามาเรื่องการเมืองช่วงนี้ก็คลายไปพักหนึ่ง ตอนนั้นก็ดีใจที่ในหลวงตั้ง ดร.สัญญาเป็นนายกฯ คิดแต่เพียงว่าประเทศชาติคงไม่กลับไปเป็นเผด็จการแล้วนะ เพราะเป็นพลเรือนเข้ามาปกครองดูแล มันจะดีกว่าที่ให้ทหารเข้ามาปกครองดูแล ความจริงทหารไม่น่ามีส่วนในการปกครองแต่ประเทศไทยทหารมีส่วนร่วมตรงนี้มากเกินไปมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วจนกระทั่งปัจจุบัน ไม่พัฒนาสักทีตามความคิดของผมนะ ประชาธิปไตยมันหลอกลวงเพราะยังมีการครอบงำอยู่ในกลุ่ม ถ้าปล่อยให้พวกประชาชนหรือพลเรือนที่เป็นประชาธิปไตยปกครองดูสักระยะหนึ่ง ผมว่าอะไรมันจะดีขึ้น

ผู้สัมภาษณ์: คราวนี้พอเริ่มมาเรียนที่ช่างอุตสาหกรรมก็เหมือนโตขึ้นมาอีกนิดหนึ่ง ก็เป็นช่วงระยะใกล้ 6 ตุลา 19 ช่วงนั้นทำอะไรอยู่ที่ไหนคะ
คุณสมพงษ์: ช่วงนั้นก็ได้แต่ติดตามข่าวแต่ไม่ได้เข้าไปร่วมเพราะเห็นว่ารุนแรงถึงขนาดที่ว่าขึ้นไปบนตึกแล้วยิงปืนกราดลงมา โอ้โห! ใครจะกล้าเข้าไปร่วมแต่พวกที่ไปร่วมนี่ก็นับถือนะ แต่ผมก็ไม่รู้ว่าพวกเขามีอะไรแอบแฝงรึเปล่า ผมก็ไม่สามารถรู้ได้ ถึงขนาดเอาตัวเข้าไปเสี่ยงขนาดนั้น

 ผู้สัมภาษณ์: พอรู้เรื่องเหตุการณ์ 6 ตุลา ในฐานะที่เราเคยอยู่ร่วม 14 ตุลา ก็รักประชาธิปไตย พอได้ยินข่าวนี้รู้สึกอย่างไรบ้างคะ
คุณสมพงษ์: ก็บอกเอาอีกแล้ว อำนาจลักษณะนี้ยังไม่หมดสักที

ผู้สัมภาษณ์: พอทราบข่าวว่าถนอม ประภาสเดินทางกลับมา ตอนนั้นรู้สึกอย่างไร จะไปร่วมคัดค้านไหม
คุณสมพงษ์: ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดอะไรเท่าไร แต่ก็คิดว่า เอ๊ะ! ไม่น่ากลับมาเลย น่าจะอยู่ที่ต่างประเทศ แต่ก็ไม่ได้เข้าร่วม

ผู้สัมภาษณ์: ขอย้อนกลับไปนิดนึงครับ สภาพเศรษฐกิจก่อนช่วง 14 ตุลา สมัยรัฐบาลถนอมกับรัฐบาลสัญญา ธรรมศักดิ์นี้แตกต่างกันไหม
คุณสมพงษ์: ทางด้านเศรษฐกิจเหรอ...ตอนนั้นผมยังไม่ได้ทำงาน ยังใช้เงินพ่อแม่อยู่ก็เลยจับประเด็นไม่ได้ลักษณะนี้ผมเองก็ไม่รู้หรอก แต่ผมก็อยู่ปกติ จำได้ว่าพอไปเรียนช่างกลพ่อก็ให้ผมเดือนละ 300 บาทแต่ก็ไม่พอหรอก บางทีก็ขอเพิ่ม ขอเพิ่มไม่ได้ก็หาของไปจำนำ (หัวเราะ) ... (39:08) เวอร์เนีย สไลด์รูล อุปกรณ์การเรียนสมัยก่อนเอาไปจำนำได้ก็เอาไปจำนำไว้ก่อน

ผู้สัมภาษณ์: หลังจาก 6 ตุลา 16 มีติดตามเหตุการณ์อะไรบ้างไหม
คุณสมพงษ์: ก็ดูข่าวการเมืองมาตลอด ส่วนใหญ่อ่านหนังสือพิมพ์ ส่วนใหญ่อ่านไทยรัฐ เดลินิวส์ ดูไทยรัฐฌป็นพื้นๆ ดูบ้านเมืองด้วย ตอนเด็กๆก็อ่านหนังสือพิมพ์เพราะพ่อรับมาทุกวัน พ่ออ่านเสร็จเราก็อ่านต่อ พ่อชอบอ่านบ้านเมืองแต่บ้านลุงข้างๆชอบอ่านไทยรัฐ เดลินิวส์ ก็ได้อ่านสลับไปสลับมาหลายๆฉบับ สมัยก่อนจำไม่ได้แล้วว่าชอบอ่านประเด็นไหน แต่ตอนนี้ชอบอ่านประเด็นด้านการศึกษากับด้านเศรษฐกิจ เพราะเราทำงานด้านการศึกษา เหตุการณ์ทางบ้านเมืองหลัง 14 ตุลา ก็จะติดตามจากหนังสือพิพม์เป็นส่วนใหญ่ มีดูทีวีด้วย

ผู้สัมภาษณ์: พฤษภาทมิฬได้เข้าไปมีส่วนร่วมไหมครับ
คุณสมพงษ์: ตอนนั้นเผอิญผมไปเรียนภาคค่ำที่วิทยาลัยครูสวนดุสิต (41:11) พรรคพวกมาเลี้ยงฉลองที่บ้านกัน 20 กว่าคน ก็เกิดเหตุการณ์ตูมตาม เปิดข่าวกันดูแทบไม่ทัน แต่ไม่ได้เข้าไปร่วม ติดตามดูการถ่ายทอดถึงขนาดที่ว่าในหลวงเรียกท่านจำลองกับท่านสุจินดาเข้าพบ

ผู้สัมภาษณ์: ถ้าให้กลับไปมองเหตุการณ์ 14 ตุลา ภาพเหตุการณ์ไหนที่จำได้ติดตามาจนถึงปัจจุบัน
คุณสมพงษ์: ภาพที่ว่านี้ไม่ได้เกิดจากที่มองเห็นเอง คือเราดูทีวี เช่น ที่ภูเขาทอง มีคนขึ้นเฮลิคอปเตอร์แล้วกราดยิงลงมา จำไม่ได้แล้วว่าเป็นใคร ที่เขาพูดๆ กัน แต่ไม่เห็นตัว เห็นแต่ ฮ. อันนี้เป็นเหตุการณ์ 14 ตุลา แต่เกิดหลังวันที่ 14 ตุลา แต่ไม่ทราบว่าวันไหน ไม่แน่ใจ ก็อย่างที่บอกผมไปเร็ว คือเข้าโรงพยาบาลเร็ว คนแรกเลย ภาพที่เห็นติดตาด้วยตัวเอง ที่ประสบจริงเป็นภาพเหตุการณ์เล็กๆ น้อยๆ อยู่ในความทรงจำชัดเจนมากก็คือ ภาพที่เดินกันมา แน่นเลย ไหล่ชนไหล่ แล้วผมก็ไปนั่งฟังพี่ผู้หญิงที่เขาพูด จำชื่อไม่ได้ เขาพูดดีมากแต่เราอาจจะจับวิเคราะห์ไม่เป็นก็ได้เพราะเรายังเด็กอยู่ ใครพูดมาเราก็ต้องตามเพราะเราเข้าไปในกลุ่ม ทั้งนี้ทั้งนั้นก็คิดว่าเขาทำเพราะหวังดีกับประเทศชาติ

ผู้สัมภาษณ์: ตอนที่ไปประจันหน้ากับตำรวจมีสัญลักษณ์ที่บอกว่าเป็นการ์ดบ้างไหมครับ
คุณสมพงษ์: ไม่มีนะ มันไม่เหมือนครั้ง 6 ตุลา 19 ที่มีการ์ดกระทิงแดงของพลตรีนำมา แต่สมัยแรกที่ผมเดินนั้นไม่มีนะหรือไม่ได้สังเกตก็ไม่แน่ใจ

ผู้สัมภาษณ์: ถ้าจะให้คำอธิบายเหตุการณ์ 14 ตุลา แบบสั้นๆประโยคหนึ่งคิดว่าคำไหนใช่เลยครับ
คุณสมพงษ์: ใช่เลยคือ กลุ่มนิสิตนักศึกษาต้องการให้ปกครองระบอบประชาธิปไตย เท่านั้นเอง ไม่ใช่ว่าท่าน 2 ท่านปกครองประเทศด้วยกลุ่มเล็กๆ กลุ่มเดียวมาเป็นเวลานาน
ผู้สัมภาษณ์: ท่านมองเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ในปัจจุบันนี้อย่างไรบ้าง
คุณสมพงษ์: เอาการเมืองก่อนแล้วกันนะ คือทั้งกลุ่มผู้มีอำนาจและนักการเมืองยังหวังประโยชน์ส่วนตนและส่วนกลุ่มยังมีอยู่มาก คนดีจริงๆ ผมคิดอยู่ว่าจะมีถึง 20% รึเปล่า ยังคิดอยู่ คิดหนักเหมือนกัน เพราะฉะนั้นการเมืองแบบนี้จะไม่สามารถนำพาประเทศให้รุ่งเรืองทันประเทศรอบข้างเขาได้ คงจะย่ำอยู่กับที่ไปเรื่อยๆ อยากจะให้เป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์ๆ ที่ว่าเอาเสียงส่วนใหญ่จริงๆ ไม่ใช่เสียงส่วนใหญ่แบบแฝงหรือว่าซื้อ หรืออาจจะดูความต้องการของประชาชนจริงๆ ติดอยู่ที่ว่าเราจะทำอย่างไรให้แก้ไขที่ประชาชนได้ในเรื่องของการซื้อ-ขายเสียง คิดว่าเราน่าจะร่วมมือกันชี้แจงต่อทอดกันไปเรื่อยๆ ให้ประชาชนเข้าใจในเรื่องนี้ให้มากขึ้น เพื่อว่าเราจะได้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ขึ้น แต่ผมลองคิดดูว่าถ้าผมตายไปแล้วนี่มันจะสมบูรณ์แบบอเมริกา แบบยุโรปเขารึเปล่ายังไม่รู้เลย แล้วอีกด้านนึงมีเรื่องอำนาจ มีสีต่างๆ ลด ละสักทีได้ไหม คือท่านก็มีหน้าที่ที่จะพัฒนาบางส่วนในยามที่ประเทศหรือรัฐบาลต้องการ แต่ทหาร ตำรวจทำได้ เป็นต้น คอยดูแลปกป้องพระมหากษัตริย์และราชวงศ์ให้ดีที่สุด หรือว่าช่วยพัฒนาประเทศในด้านที่มีกำลังอยู่เพราะว่าทหารมีสรรพกำลัง มียุทโธปกรณ์ที่จะพัฒนาประเทศได้หลายๆ ด้าน อยากจะให้ออกมาในรูปนี้ เราก็น่าจะเข้าไปช่วยในลักษณะของการประคองและช่วยเหลือในทางที่สามารถทำได้ในทางที่ถูกต้องตามประชาธิปไตย ไม่น่าจะมีอำนาจแฝงหรือยึดอำนาจ ส่วนด้านเศรษฐกิจ ตอนนี้ก็กู้ๆๆ อย่างว่า (หัวเราะ) อยากให้รัฐบาล วางแผนระยะยาวในการฟื้นฟูการลงทุนที่ก่อให้เกิดการสร้างงาน ลงทุนระยะยาว อย่ามาหวังผลเข้าตนเข้าพรรค ต้องมีผลให้ประชาชน...(48:38) ล่วงหน้า จึงควรที่จะหาเงินมาลงทุนในลักษณะที่สร้างการลงทุนมหึมาในลักษณะมหภาค เพื่อให้ประชาชนทั้งประเทศมีงานทำ มีรายได้ที่สามารถดำรงชีวิตด้วยดีและมีความสุข ไม่ใช่ไปแจก แจกแบบนี้ผมก็ไม่เห็นด้วย ไปแจกนี้เสียเงินเปล่าๆ คนก็เอาไปใช้ฟุ่มเฟือย ส่วนใหญ่ก็ไปใช้กันจนหมด น้อยคนนักที่จะเอามาเก็บ เงิน 2000 ทำอะไรไม่ได้ ก็หมดเงินงบประมาณไปเปล่าๆ แล้วตอนนี้เงินคงคลังก็เก็บภาษีได้ไม่ครบตามเป้าหมาย ตรงนี้รัฐบาลน่าจะถนอมเงินมากกว่าแล้วค่อยไปหาทางลงทุนในระยะยาวเพื่อให้คนมีงานทำในอนาคต ไม่ว่างงาน แต่มันก็เป็นเรื่องที่ต้องมีหัว มีความคิดที่เลิศ ฉลาดล้ำจริงๆ ต้องมีข้อมูลสูงในการที่จะลงทุนระดับใหญ่ๆ ให้คนมีงานทำตลอดแล้วไม่ล้ม ส่วนใหญ่รัฐบาลที่เข้ามาก็คิดระยะหน้า ระยะสั้นๆ เงินมันก็รั่วออกไป เรื่องการกู้ก็ไม่เห็นด้วยด้านหนึ่งอีกด้านหนึ่งก็เห็นด้วยประกอบกัน ด้านที่เห็นด้วย เดี๋ยวเกิดไม่มีเงินเดือนจ่ายให้ข้าราชการจะทำอย่างไร (หัวเราะ) อีกด้านที่ไม่เห็นด้วย ทำไมไม่หารายได้ทางอื่นก็ผนวกสอดคล้องกับที่เราสร้างงานขึ้นมาเพื่อให้คนมีรายได้ขึ้นมา ประเทศก็มีรายได้ด้วย ไม่ใช่คิดแต่จะไปกู้อย่างเดียว ส่วนด้านการศึกษา ระบบการศึกษาไทยตอนนี้ ผมอยู่สายอาชีวะไม่ได้อยู่ทางสายสามัญ แต่ทางสายสามัญตอนนี้ก็ดีขึ้นเยอะ มีการเรียนฟรี 12 ปี ต่อยอดเป็น 15 ปี ถ้าสามารถทำจริงได้ก็ถือว่าสุดยอด เพราะว่าประชาชนคนไทยส่วนใหญ่การศึกษายังไม่สูงพอ ถ้าตรงนี้ทำได้จริงและทั่วถึงก็จะมีคุณภาพ ประเทศชาติก็จะพัฒนาไปในตัวมันเองได้โดยอัตโนมัติอยู่แล้ว ส่วนทางด้านอาชีวะตอนนี้ก็ดี กทม.เองก็จัดบริการประชาชนให้เข้ามาเรียนหลักสูตรวิชาชีพเพื่อนำไปใช้ประกอบอาชีพได้เลย หรือบางท่านที่ประกอบอาชีพอยู่แล้วก็มาเสริมทักษะให้ตนเองมีดีกรีดีขึ้น มีประสบการณ์มากขึ้น ทั้งยังสามารถลดค่าใช้จ่ายในครัวเรือนหรือครอบครัวได้ การเรียนก็ถือว่าเรียนฟรี เสียค่าสมัคร 5 บาทและค่าบำรุงการศึกษา 100 บาท อุปกรณ์เราฟรีหมด

ผู้สัมภาษณ์: มีอะไรอยากจะฝากถึงตอนนี้ไหมครับ
คุณสมพงษ์: อยากจะฝากเรื่องม็อบเสื้อแดงที่จะเกิดขึ้นวันที่ 27 ผมเองมองภายนอกพอดูออกว่าใครเป็นอย่างไร แต่มองภายในนี้เราไม่สามารถรู้ได้ พฤติกรรมออกมาอย่างนี้มันหมายความว่าอะไร เขาต้องการอะไร ทำไมเขาไม่ใช้วิธีทางรัฐสภาหรือทางที่ถูกที่ควร ไม่อยากให้แบ่งแยกสี น่าจะหาทางร่วมมือกัน ทำไมต้องมาแบ่งกัน อย่างว่าก็ทำกันไปทำกันมามันก็เลยออกมาในรูปลักษณะแบบนี้ การพูดการจามันก็ต้องพูดด้วยวาทะหรือคำพูดที่สร้างสรรค์หรือถนอมน้ำใจกันหน่อย ตรงนี้ทั้งฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้านและฝ่ายไหนก็แล้วแต่ ถ้า.......(53:22) ตรงนั้นได้ ประเทศไทยก็จะสงบราบรื่น คนไทยก็จะมีความสุขตามมาด้วย

ผู้สัมภาษณ์: ขอบคุณมากครับ



จบการสัมภาษณ์