Hollister France

Hollister France

Hollister France

Hollister France

Hollister France

Hollister

Hollister

Hollister

Hollister

Hollister

Hollister

Hollister

Woolrich Outlet

Woolrich

hogan

hogan

hogan

Hogan Sito Ufficiale Hogan Scarpe Hogan Outlet Hogan Scarpe Hogan Hogan Scarpe Hogan Interactive Hogan Donna Scarpe 2013 Hogan Scarpe Outlet Hogan Vendita Hogan Hogan Scarpe 2013 Hogan Scarpe Hogan Scarpe Hogan Hogan Outlet Hogan Scarpe Outlet Hogan Scarpe Donna Hogan Scarpe Hogan Outlet Scarpe Hogan Hogan Sito Ufficiale Scarpe Hogan2013 Hogan Hogan Scarpe Donna Hogan Scarpe Donna Hogan Interactive Hogan 2013 Hogan Online Hogan Italia Hogan Scarpe
woolrich ASK Hollister Hollister abercrombie abercrombie abercrombie abercrombie woolrich parka Hollister Holliter France Hollister Hollister France Magasin Vetement Hollister Hollister Soldes Hollister Pas Cher Pas Cher Hollister Hollister Vente Hollister En ligne Hollister 2013 Hollister France Hollister France 2013 Hollister Hollister Hollister Magasin Hollister Vente Hollister Homme Hollister Pas Cher Hollister T Shirts Hollister Paris Boutique Hollister Vetements Boutique Hollister Pas Cher Pas Cher Hollister Hollister Hommes Hollister France Vente Hollister Hollister sortie 2013 Pas Cher Hollister Hollister Pas Cher
บทสัมภาษณ์ - สุวัฒน์ ตันพานิช
วันที่ 27 พฤษภาคม 2552 เวลา : 11.00 น.
สถานที่ The Park 9 ศรีนครินทร์
ผู้สัมภาษณ์ : : ชัยวัฒน์ ตรีวิทยา
ตามโครงการของมูลนิธิ 14 ตุลา ในการรวบรวมปากคำของคนที่อยู่ในเหตุการณ์ เพื่อจัดทำเป็นฐานข้อมูลเพื่อการศึกษาต่อไป


ผู้สัมภาษณ์ : ก็ขอเริ่มเรื่องส่วนตัวนิดหนึ่งนะครับ
คุณสุวัฒน์ :
ครับผม

ผู้สัมภาษณ์ : อยากจะถามพื้นเพนะครับว่าเกิดปี พ.ศ. อะไร? ที่ไหน? ที่บ้านเป็นยังไง? มีพี่น้องกี่คน? อะไรอย่างนี้ ตอนเด็กๆ
คุณสุวัฒน์ :
ก็ความจริง พื้นเพทางพ่อแม่ก็มาจากทางใต้นะครับ แต่ว่าตอนที่ผมเกิดนี่มาเกิดที่จันทบุรี เพราะว่าคุณพ่อย้ายมาทำกิจการ ทำธุรกิจด้านยางพาราแถวจันทบุรี เกิดเมื่อปี 2496 การศึกษาเบื้องต้นก็เรียนอยู่ที่ต่างจังหวัด

ผู้สัมภาษณ์ : ที่ไหนครับ?
คุณสุวัฒน์ :
ที่จันทบุรีครับ

ผู้สัมภาษณ์ : โรงเรียนอะไร?
คุณสุวัฒน์ :
โรงเรียนลาซาลมารดาพิทักษ์ แล้วก็เปลี่ยนมาเป็นลาซาล ซึ่งมีสาขาอยู่ที่บางนาด้วย ที่นครสวรรค์ด้วย หลังจากนั้นก็มากรุงเทพฯ เมื่อสมัย ม.ศ.2 ก็มาต่อที่ลาซาล บางนา, ม.ศ.3 ก็ไปอยู่ที่เซนต์คาเบรียล, ม.ศ.4-5 ก็เข้าที่วัดเบญจฯ นะครับ แล้วก็มาเริ่มการศึกษาขั้นปริญญาตรีที่คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อปี 2514 ครับ

ผู้สัมภาษณ์ : ครับ อ๋อ
คุณสุวัฒน์ :
พี่น้องก็ 3 คน มีพี่สาวคนหนึ่ง น้องสาวคนหนึ่งครับ

ผู้สัมภาษณ์ : เป็นคนกลางนะครับ?
คุณสุวัฒน์ :
ครับ เป็นคนกลางครับ

ผู้สัมภาษณ์ : ชีวิตในวัยเด็กเป็นยังไงบ้างครับ?
คุณสุวัฒน์ :
ก็...

ผู้สัมภาษณ์ : คือคุณพ่อนี่เป็นคนที่ไหนนะครับ?
คุณสุวัฒน์ :
ความจริงเป็นคนสตูลนะครับ

ผู้สัมภาษณ์ : คนสตูล แต่ว่าพอมาเกิดแล้วพี่ก็กลายเป็นคนจันทบุรีเลย?
คุณสุวัฒน์ :
ใช่ครับ

ผู้สัมภาษณ์ : ชีวิตในวัยเด็กเป็นยังไงบ้างครับ? ตอนที่อยู่จันทบุรี
คุณสุวัฒน์ :
ก็ปกตินะครับ มันก็ไม่ได้มีอะไร ก็เรียนในโรงเรียนคาทอลิก เพราะฉะนั้นก็เลยจะคุ้ยเคยกับทางด้านศาสนาคาทอลิกพอสมควร อยู่หอพักเป็นโรงเรียนประจำก็อาศัยอยู่กับพวกซิสเตอร์ พวกบราเดอร์ส อะไรพวกนั้นนะครับ พวกคุณพ่อ แล้วก็สักพักก็เข้ามากรุงเทพฯ นะครับ

ตอนเด็กๆ ก็คือเหมือนเด็กต่างจังหวัดทั่วๆ ไป ธรรมดาครับ

ผู้สัมภาษณ์ : มีการรับรู้ข่าวสารบ้านเมืองบ้างไหมครับ? ช่วงเป็นเด็ก
คุณสุวัฒน์ :
ช่วงวัยเด็กก็ไม่ได้สนใจตรงนี้ ก็มีหน้าที่คือเรียนอย่างเดียวครับ

ผู้สัมภาษณ์ : พวกเกี่ยวกับรู้ว่าทหารเข้ามาปกครองบ้านเมือง นี่ไม่รู้เลย?
คุณสุวัฒน์ :
ไม่ ไม่มีไอเดียเลย ไม่ได้สนใจไม่ได้อะไรเลย

ผู้สัมภาษณ์ : ไม่ได้สนใจเลย? Blank เลย?
คุณสุวัฒน์ :
ไม่ได้นั่นเลยครับ

ผู้สัมภาษณ์ : แล้วชีวิตเป็นยังไงบ้างครับ? ตอนที่เรียนโรงเรียนประจำนี่เป็นยังไงครับ? ลองเล่าบรรยากาศ
คุณสุวัฒน์ :
มันก็ค่อนข้างที่จะแบบทุกอย่างก็ตรงตามกำหนดที่เขาให้ไว้ เวลานี้ทานข้าว เวลานี้อาบน้ำ เวลานี้นอน เวลานี้ทำการบ้าน อะไรอย่างนี้นะครับ ยกเว้นก็ช่วงเสาร์-อาทิตย์ ที่เป็นวันหยุดอะไรอย่างนี้ บางทีทางคุณพ่อก็มารับกลับไปบ้าน ตอนนั้นจะอยู่ที่ระยองครับ แต่ไปเรียนที่จันทบุรี

ผู้สัมภาษณ์ : ยังไงครับ? ตอนแรกคุณพ่อไปอยู่จันทบุรี...
คุณสุวัฒน์ :
อ่า อยู่จันทบุรี แล้วตอนหลังเขาก็ย้ายมาอยู่ระยอง

ผู้สัมภาษณ์ : ที่อำเภออะไรครับ?
คุณสุวัฒน์ :
ตอนที่อยู่ที่จันทบุรีนี่... ก็เริ่มเข้าเรียนตอนนั้นรู้สึกจะย้ายมาอยู่ที่ระยอง อยู่ที่อำเภอแกลง

ผู้สัมภาษณ์ : อ๋อ ครับ
คุณสุวัฒน์ :
ทำการค้าอยู่ที่นั่น แต่ว่าส่งผมไปเรียนประจำอยู่ที่จันทบุรี เพราะว่าในละแวกนั้นตอนนั้นโรงเรียนนั้นก็น่าจะเป็นโรงเรียนที่ดีที่สุดในภาคตะวันออก ตรงนั้นนะครับ พอหลังจากนั้นก็จะมีที่อัสสัมชัญ ระยอง มาเปิด แต่ตอนผมก็โตแล้ว

ผู้สัมภาษณ์ : อืม แล้วตอนที่กลับมาที่บ้านที่ระยองนี่ทำอะไรบ้างครับปิดเทอม?
คุณสุวัฒน์ :
ก็ไม่ได้ทำอะไรเป็นกิจจะลักษณะนะครับ เราก็ยังเด็กอยู่ ก็ไม่ได้มีความรับผิดชอบอะไร ก็อยู่บ้าน เรื่องการค้าของคุณพ่อก็ยังเด็กเกินไปที่จะช่วยทำงาน ช่วยเหลือ หรือดูแลหรืออะไรครับ

ผู้สัมภาษณ์ : ครับ ส่วนใหญ่ทำอะไรครับ? ไปยิงนก? (หัวเราะ)
คุณสุวัฒน์ :
ก็จะประมาณอย่างนั้นน่ะ ก็อยู่ใกล้แหลมแม่พิมพ์ บางทีก็ขี่จักรยานไปเที่ยวบ้างอะไรบ้าง เพราะมันก็ลำบากนิดหนึ่งชีวิต เพราะว่ากับเพื่อนละแวกบ้านเราก็ไม่ค่อยสนิท เพราะว่าเราไปเรียนประจำใช่ไหมครับมันก็เลยไม่ค่อยมีความคุ้นเคยกับเขา จะเจอกันบางทีเสาร์-อาทิตย์ หรือช่วงปิดเทอม อะไรประมาณนั้นเท่านั้นเองนะครับ ก็เลยไม่ค่อยจะมี Activities กับเพื่อนฝูงอะไรมากมายครับ

ผู้สัมภาษณ์ : ไปเที่ยวก็ไปเที่ยวคนเดียวเหรอครับ? หรือว่ายังไง?
คุณสุวัฒน์ :
ก็ไม่เชิง คือไม่ค่อยได้ไปไหนมากกว่า เพราะว่าด้วยอาจจะความแตกต่าง อันนี้ก็ไม่ได้ว่าดูถูกคนน่ะนะครับ แต่ว่าฐานะของเรากับฐานะเพื่อนๆ บ้าน มันแตกต่างกัน มันก็เลยทำให้เหมือนกับ common interest มันไม่เหมือนกัน

ผู้สัมภาษณ์ : ครับ
คุณสุวัฒน์ :
เราจะไปยิงนกตกปลา พ่อแม่เราก็อาจจะไม่ค่อยอยากให้เราไปอย่างนี้ แต่เด็กกลุ่มนั้นเขาก็จะแบบว่า... ประมาณว่าชอบชีวิต วิถีชาวบ้านแบบต่างจังหวัดอะไรอย่างนี้ พี่ชอบอย่างนั้นมากกว่า

ผู้สัมภาษณ์ : อ๋อ แล้วอย่างนี้ผ่านเสาร์-อาทิตย์ ยังไงครับ? ดูทีวีหรือว่าอะไร? ทำการบ้านหรืออะไร? (หัวเราะ)
คุณสุวัฒน์ :
ส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยได้ทำอะไร เพลงก็ฟังบ้างนิดหน่อย แต่ก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษน่ะ ไม่มีอะไรโดดเด่นหรือสนใจอะไรเป็นพิเศษหรืออะไรยังไงนะครับ ก็อยู่ที่บ้าน

ผู้สัมภาษณ์ : พอดีถามเพื่อจะดู...
คุณสุวัฒน์ :
background?

ผู้สัมภาษณ์ : background ครับ
คุณสุวัฒน์ :
บางทีถ้าพูดไป เดี๋ยวถ้าไปถึงตอนที่โตขึ้นมาจะเห็นว่าของผมนี่มันค่อนข้างที่จะไม่ได้เรียกว่าพลิกผันอะไรน่ะนะครับ จริงๆ แล้วเป็นเรื่องเกี่ยวกับฐานะทางบ้านส่วนหนึ่งแล้วก็ชีวิตด้วย จากเคยอยู่สบายๆ ตอนหลังนี่มีปัญหาทางบ้านการค้าของพ่อ ก็เลยทำให้ชีวิตผมต้องเปลี่ยนแปลงไป

ผู้สัมภาษณ์ : อืม
คุณสุวัฒน์ :
ทำให้คล้ายๆ ว่าจากเด็กที่เรียบร้อย แบบไม่ค่อยจะมีอะไรตื่นเต้น มันต้องมาช่วยตัวเองมากขึ้นอะไรอย่างนี้ มันก็เลยเปลี่ยนแปลงจากเด็กที่ค่อนข้างจะแหย พูดง่ายๆ นะครับ ไม่กล้าสู้คนไม่อะไร ก็เป็นเด็กที่เรียนดีพอใช้ได้ แต่พอเข้ากรุงเทพฯ ปุ๊บต้องมาอยู่ตัวคนเดียวอะไรอย่างนี้ ทำให้ชีวิตมันเปลี่ยนแปลงไป เราต้องช่วยเหลือตัวเองมากขึ้น ต้องทำทุกอย่าง

ผู้สัมภาษณ์ : ก็คือเรียนจบ ม.ศ....
คุณสุวัฒน์ :
ม.ศ.1 ที่จันทบุรี แล้วก็มาต่อลาซาลที่บางนา นี่ ม.ศ.2 แล้ว ม.ศ.3 ก็เข้าที่เซนต์คาเบรียล

ผู้สัมภาษณ์ : ม.ศ.2 นี่มาอยู่กับใครครับ?
คุณสุวัฒน์ :
ตอนนั้นก็มาอยู่กับอาที่แถวฝั่งธนฯ

ผู้สัมภาษณ์ : ฝั่งธนฯ แล้วมาเรียน... (หัวเราะ)
คุณสุวัฒน์ :
ใช่ สมัยนั้นต้องตื่นตั้งแต่ตี 4 ตี 5

ผู้สัมภาษณ์ : ครับ โอ้โห
คุณสุวัฒน์ :
นั่งรถเมล์สาย 2 ตั้งแต่ปากคลองตลาดยันสำโรงเนื่องจากโรงเรียนไกลมาก

ผู้สัมภาษณ์ : ครับ ใช่
คุณสุวัฒน์ :
โรงเรียนก็แทนที่จะเรียน 5 วัน ทั่วๆ ไป ก็จะเรียน 6 วัน แต่ลดวันหนึ่งเหลือ 5 ชั่วโมง ตอนนั้นเรียนก็ได้หยุดวันอาทิตย์วันเดียว

ผู้สัมภาษณ์ : นี่หมายถึงว่าเฉพาะคนเดียวใช่ไหมครับ?
คุณสุวัฒน์ :
ไม่ ไม่ครับ ทุกคน

ผู้สัมภาษณ์ : ทุกคนเป็นอย่างนั้นหมดเลย?
คุณสุวัฒน์ :
ทุกคนเป็นอย่างนั้นหมด คือโรงเรียนรู้ว่าการเดินทางไม่สะดวก ก็ย้อนหลังไปประมาณปี ’10 – ’11 อะไรประมาณนั้นน่ะนะครับ ตอนนั้นแถวนี้ก็ยังไม่เจริญเลย เพราะฉะนั้นการคมนาคมก็ไม่สะดวก

ผู้สัมภาษณ์ : อืม
คุณสุวัฒน์ :
โรงเรียนถ้าเรียนวันละ 6 ชั่วโมง เหมือนทั่วๆ ไป นี่นักเรียนกว่าจะกลับถึงบ้านก็ค่ำ แต่เพื่อนผมบางคนที่เจอกันอยู่บางแคอย่างนี้ ยิ่งหนักกว่าผมอีกนะครับ เราก็เลยต้องเรียนวันละ 5 ชั่วโมง แต่เป็น 6 วัน ก็กลายเป็นว่าก็ต้องใช้ชีวิตอย่างนั้น 6 วัน อาทิตย์หนึ่งก็จะหยุดวันอาทิตย์วันเดียว

ผู้สัมภาษณ์ : มาอยู่กับอาใช่ไหมครับ?
คุณสุวัฒน์ :
ครับ มาอยู่กับอา

ผู้สัมภาษณ์ : แล้วตอนช่วงที่มาอยู่นั้นเป็นยังไงบ้างครับ? ก็คือแบบ...
คุณสุวัฒน์ :
มันก็ปรับตัวพอสมควร เพราะจากเด็กต่างจังหวัดเข้ากรุงเทพฯ เราก็ต้องช่วยเหลือตัวเองมากขึ้นใช่ไหมครับ จากอยู่โรงเรียนประจำสบายๆ ทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงไปเยอะ แล้วก็มันstruggle ขึ้นเยอะน่ะ

ผู้สัมภาษณ์ : ปรับตัว
คุณสุวัฒน์ :
จากที่แบบถึงเวลากินก็กิน ถึงเวลานอนก็นอน มันปรับตัวพอสมควร เหนื่อย เหนื่อยแล้วก็ไม่มีเพื่อนไม่มีอะไรด้วยอย่างนี้ใช่ไหมครับ มันก็เลยทำให้ต้องปรับตัวมาก

ผู้สัมภาษณ์ : กิจวัตรนี่คือตื่นกี่โมง?
คุณสุวัฒน์ :
โอ ตื่นตั้งแต่ก่อนตี 5 น่ะครับ

ผู้สัมภาษณ์ : ก่อนตี 5?
คุณสุวัฒน์ :
ครับผม

ผู้สัมภาษณ์ : พอตี 5 นี่ก็คือมาขึ้นรถแล้ว?
คุณสุวัฒน์ :
ครับ ก็จะอยู่วัดกุฎีจีน

ผู้สัมภาษณ์ : อะไรนะครับ?
คุณสุวัฒน์ :
วัดกุฎีจีนนะครับ แล้วก็ข้ามเรือมาปากคลองตลาด มาขึ้นรถเมล์ต้นทางสาย 2 มาลงปากซอย แล้วก็นั่งรถโรงเรียนเข้าไปในซอยถึงโรงเรียนอีกทีหนึ่งครับ

ผู้สัมภาษณ์ : แล้วตอนเย็นนี่เลิกกี่โมง?
คุณสุวัฒน์ :
ก็เหมือนกันน่ะ ตอนเย็นก็เลิกประมาณบ่าย 2 โมงครึ่งอะไรอย่างนี้ แล้วก็ตอนกลับก็ย้อนเส้นทางเดิม

ผู้สัมภาษณ์ : รถติดมากไหมครับสมัยนั้น?
คุณสุวัฒน์ :
สมัยนั้นเขาก็นับว่าโอเคนะ ไม่ติดนะ แต่ว่าโดยความที่ตื่นเช้าแล้วอาทิตย์หนึ่ง 6 วัน เราก็เหนื่อย นั่งบนรถนี่ก็แบบ... ขามานี่ก็แทบจะเรียกว่าหลับมาตลอดนะครับ ส่วนขากลับอาจจะดีหน่อยเพราะมีเพื่อนกลับเส้นทางเดียวกันใช่ไหมครับ ก็นั่งคุยกันไป หลับกันไป ก็เลยจะทำให้ค่อนข้างที่จะชำนาญเส้นสุขุมวิทมากๆ

ผู้สัมภาษณ์ : (หัวเราะ)
คุณสุวัฒน์ :
รู้ตลอดเส้นทางว่ามาจากสุขุมวิทติดทางซอยไหน มีอะไร แต่ว่าเดี๋ยวนี้ก็เปลี่ยนแปลงไปเยอะ

ผู้สัมภาษณ์ : แล้วตอนนั้นได้ค่าขนมมาเรียนเท่าไหร่ครับ?
คุณสุวัฒน์ :
จำไม่ได้แล้วครับว่าเท่าไหร่ อะไรยังไง

ผู้สัมภาษณ์ : ก็เป็นอย่างนี้อยู่...
คุณสุวัฒน์ :
1 ปี

ผู้สัมภาษณ์ : 1 ปี เลย?
คุณสุวัฒน์ :
พอขึ้น ม.ศ.3 พอดีอาก็มีคนรู้จัก ก็ฝากให้เข้าไปที่โรงเรียนเซนต์คาเบรียล ซึ่งปกติแล้วกลางปีอย่างนี้เขาไม่รับ

ผู้สัมภาษณ์ : อ๋อ เข้ากลางปี?
คุณสุวัฒน์ :
ไม่ใช่หมายความว่ากลางเทอมหรืออะไรอย่างนี้ แต่หมายความว่าเขาจะรับตั้งแต่ ป.1 อะไรอย่างนี้ หรือชั้นประโยคน่ะใช่ไหมครับ

ผู้สัมภาษณ์ : ครับ
คุณสุวัฒน์ :
ซึ่งไปเข้าตอนนั้นนี่ ปกติเขาไม่รับนะครับ แต่นี่ด้วยอาศัยบารมีของบางท่าน อาเขาก็รู้จักมักจี่กัน เขาก็เลยฝากเข้าให้ที่เซนต์คาเบรียลครับ

ผู้สัมภาษณ์ : ครับ
คุณสุวัฒน์ :
ก็ชีวิตก็เปลี่ยนไปอีกแบบหนึ่ง

ผู้สัมภาษณ์ : ยังไงครับ? ลองเล่า
คุณสุวัฒน์ :
ก็คือตอนนั้นก็ออกมาอยู่เองด้วยนะครับ ก็ไม่ได้อยู่ที่บ้านอาแล้ว

ผู้สัมภาษณ์ : อ๋อ อยู่บ้านอาปีหนึ่ง? แล้วออก
คุณสุวัฒน์ :
อ่า ออกมาก็มาเช่า อาก็ให้ไป... คล้ายๆ กับบ้านแบ่ง ห้องแบ่งให้เช่าน่ะ ห้องหนึ่งก็แชร์กันอยู่หลายๆ คนอะไรอย่างนี้

ผู้สัมภาษณ์ : คือเป็นบ้านหลังหนึ่งแต่ว่า...
คุณสุวัฒน์ :
อ่า เจ้าของบ้านเขาก็มีอยู่ห้องหนึ่ง เขาก็เลยแบ่งให้พวกนักเรียนอะไรอย่างนี้ใช่ไหมครับ ก็มาเช่าแล้วก็อยู่ร่วมกันอะไรประมาณนี้ อยู่แถวราชวัตรครับ

ผู้สัมภาษณ์ : ราชวัตรนะครับ
คุณสุวัฒน์ :
ก็เป็นกึ่งๆ สลัมนิดหน่อยนะครับ

ผู้สัมภาษณ์ : เดือนเท่าไหร่ครับเช่า?
คุณสุวัฒน์ :
จำไม่ได้เหมือนกัน ตอนนั้นอาเขาก็ดูแลให้ครับ

ผู้สัมภาษณ์ : ครับ
คุณสุวัฒน์ :
แล้วก็ไปเรียนที่เซนต์คาเบรียล ก็ด้วยความที่เด็กต่างจังหวัดเพิ่งเข้ากรุงเทพฯ มาได้ปีหนึ่งข้อที่หนึ่ง ข้อที่สองก็คือความแตกต่างระหว่างชนชั้น ฐานะ ในความรู้สึกของเราเองว่าเซนต์คาเบรียลก็เป็นพวกผู้ดี พวกลูกคนรวยๆ กันทั้งนั้นน่ะนะครับ มันก็รู้สึกอยู่เหมือนกันครับ แล้วก็บวกกันกับว่าด้านการเรียนด้วย เซนต์คาเบรียลวิชาเขาค่อนข้างที่จะแข็ง เข้มอะไรอย่างนี้ เรามาถึงแม้จะเคยเรียนดีมา แต่พออยู่เซนต์คาเบรียล ก็รู้สึกว่าตัวเองแทบจะไม่ค่อยรู้อะไรมากเหมือนกับที่เพื่อนๆ เขารู้กันนะครับ ก็ต้องถีบตัวเองพอสมควรเหมือนกัน

ผู้สัมภาษณ์ : ครับ
คุณสุวัฒน์ :
เสร็จแล้วหลังจากนั้นก็จาก ม.ศ.3 ขึ้น ม.ศ.4 เนื่องจากว่าคะแนนไม่ดี ไม่ได้สิทธิ์ต่อที่เซนต์คาเบรียล ก็เลยต้องออก ออมาเสร็จ...

ผู้สัมภาษณ์ : พ.ศ. อะไรได้นะครับตอนนั้น?
คุณสุวัฒน์ :
เอ่อ ’12 น่ะ ประมาณนั้น 2512

ผู้สัมภาษณ์ : ’12 นี่คือจบ ม.3
คุณสุวัฒน์ :
’12 นี่จบ ม.ศ.3 สมัยนั้นเป็น ม.ศ.3 ก็ต่อ ม.ศ.4-5 ที่วัดเบญจฯ ก็สอบเข้าเตรียมอุดม สอบเข้า วัดเบญจฯ ก็ไม่ได้ อาก็ฝากเข้าไปที่วัดเบญจฯ อีกนะครับ

ผู้สัมภาษณ์ : อ๋อ
คุณสุวัฒน์ :
โดยที่เป็นเด็กต่างจังหวัดก็อยู่ตัวคนเดียว ไม่ได้มีใครเป็นที่ปรึกษา ก็ไม่ทราบว่าจบ ม.ศ.3 แล้วนี่มันสามารถที่จะไปเรียนอาชีวะได้ หรือจะต่อ ม.ศ.4-5 นี่อาจจะเป็นสายวิทย์ สายศิลป์หรืออะไร มีทางเลือกหลายทาง

ผู้สัมภาษณ์ : ครับ
คุณสุวัฒน์ :
ส่วนอาเองก็ไม่ได้คุ้นเคยกับระบบการเรียนของประเทศไทย เพราะว่าสมัยอาเด็กๆ เขาก็เรียนอยู่ที่ปีนังครับ ซึ่งก็นิยมกัน คนทางใต้ที่มีตังค์ก็จะส่งลูกหลานไปเรียนที่ปีนังนะครับ เขาก็เลยไม่รู้ระบบทางคนไทยเหมือนกัน แต่ว่าโอเค รู้จักก็คนพาเข้าไปที่วัดเบญจฯ ได้ ฝากเข้าไปผมก็มีหน้าที่เรียน ก็เรียนวิทยาศาสตร์

ผู้สัมภาษณ์ : ยังพักอยู่ที่เดิมหรือเปล่าครับ?
คุณสุวัฒน์ :
ก็ยังพักอยู่ประมาณแถวที่เดิมน่ะนะครับ แต่ว่าก็มีการย้ายบ้างนิดหน่อย จากราชวัตรก็ย้ายไปอยู่แถวซังฮี้อะไรอย่างนี้ ก็ไปเจอพวกญาติๆ จากต่างจังหวัดมา ก็เลยไปเช่าอยู่รวมกันอะไรประมาณนั้นครับ ก็ย้ายไป ม.ศ.4-5 – 2 ปีที่วัดเบญจฯ ก็...

ผู้สัมภาษณ์ : เป็นยังไงครับ?
คุณสุวัฒน์ :
เป็นอะไรอีกแบบหนึ่ง เพราะว่าจริงๆ แล้วจากเด็กๆ มาก็จะคุ้นเคยกับทางด้านศาสนาคริสต์ตลอด พอเข้าวัดเบญจฯ ก็เข้าวัดไทยพุทธไปเลย วัดพุทธไปเลยอะไรอย่างนี้

ผู้สัมภาษณ์ : (หัวเราะ) แต่โดยส่วนตัวนี่นับถือศาสนาอะไรครับ?
คุณสุวัฒน์ :
พุทธครับ

ผู้สัมภาษณ์ : พุทธใช่ไหมครับ?
คุณสุวัฒน์ :
ศาสนาพุทธครับ

ผู้สัมภาษณ์ : อ๋อ
คุณสุวัฒน์ :
ก็ ม.ศ.4-5 / 2 ปีที่เบญจฯ ก็เป็นอะไรอีกแบบหนึ่งนะครับ ที่ความเสมอภาคทางด้านฐานะอะไรก็เออ ดูดีไม่เหมือนกับเซนต์คาเบรียล ใกล้เคียงกันหน่อยครับ แล้วประสบการณ์ที่ดีว่า จากที่เราคาทอลิกมาตั้งแต่เด็ก มาอยู่วัดเบญจฯ ก่อนเข้าเรียนก็ต้องสวดมนต์กันทุกเช้าอะไรอย่างนี้นะครับ หรือมีกิจกรรมทางศาสนาอะไรก็ต้องเข้าไปร่วมด้วยครับ ก็ดีครับ ชีวิตช่วงนั้นก็รับผิดชอบเรื่องเรียนซะส่วนใหญ่ ก็อาก็ยังช่วยดูแลให้อยู่ครับ

ผู้สัมภาษณ์ : ก็คือพอย้ายมาอยู่คนเดียวนี่ ตอน ม.3 ใช่ไหมครับ?
คุณสุวัฒน์ :
ม.ศ.3 ครับ

ผู้สัมภาษณ์ : ม.ศ.3 – ม.ศ.5 นี่ ช่วงนี้นอกจากเรียนแล้วทำอะไรบ้างครับ?
คุณสุวัฒน์ :
ก็ยังเหมือนๆ เดิมน่ะนะครับ คือความที่เราคิดว่าเราเป็นเด็กต่างจังหวัด เพราะฉะนั้นหนึ่งก็ไม่ทันเด็กกรุงเทพฯ อยู่แล้ว ข้อที่สองด้วยฐานะที่ว่าเราก็... อาก็ให้ใช้จ่ายค่อนข้างจะจำกัด เราก็เลยไม่มีเงินพิเศษอะไรที่จะไปทำกิจกรรมอะไรอย่างอื่นครับ

ผู้สัมภาษณ์ : ตอนนั้นที่บ้านไม่ได้ส่งมาเหรอครับ?
คุณสุวัฒน์ :
คือที่บ้านตอนนั้นก็ยัง... ที่แจ้งก่อนหน้านี้ว่ามีปัญหาเรื่องการค้าอะไรประมาณนี้นะครับ ก็เลยไม่ได้มีเงินที่จะส่งเสียให้ตอนนั้น

ผู้สัมภาษณ์ : อ๋อ ก็คือส่วนหนึ่งที่ย้ายจากจันทบุรีมาอยู่กรุงเทพฯ...
คุณสุวัฒน์ :
ใช่ ก็คือเพราะเหตุผลของ...

ผู้สัมภาษณ์ : อืม ก็คือชีวิตประจำวันก็...
คุณสุวัฒน์ :
ก็ไม่มีอะไรตื่นเต้นน่ะนะครับ

ผู้สัมภาษณ์ : แล้วแบบพวกข่าวสาร พอโตขึ้นมาหน่อยนี่ได้รับอะไรบ้างหรือเปล่า?
คุณสุวัฒน์ :
ช่วงนั้นก็ยังไม่ได้สนใจเรื่องนี้ เรื่องการเมืองนี่พูดจริงๆ คือไม่ได้...

ผู้สัมภาษณ์ : แล้วสังคมช่วงนั้นล่ะครับ? มีข่าวอย่างอื่นไหมครับที่พอจะจำได้?
คุณสุวัฒน์ :
เอ่อ จำไม่ได้เลยพวกนั้น พูดจริงๆ ว่าจำไม่ได้เลยว่ามีอะไร ด้วยความที่อาจจะไม่ได้สนใจด้วยนะครับ เพราะคงมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบเรื่องการเรียน ก็จะมุ่งเน้นไปตรงนั้นนะครับ ก็อย่างที่บอกคือมีความรู้สึกว่าเราด้อยกว่าคนกรุงเทพฯ เด็กกรุงเทพฯ เขา อะไรๆ ก็ต้องมุ่งเน้นไป จริงๆ แล้วอาจจำเป็นต้องนั่น ก็คือขนาดมีสาวๆ มาอะไรอย่างนี้ เราก็ยังไม่สนใจไม่อะไรเลย

ผู้สัมภาษณ์ : อ๋อ ไม่มีแฟน? (หัวเราะ)
คุณสุวัฒน์ :
ไม่มีๆ แล้วก็ความจริงแล้วที่อยู่ก็มีสาวๆ มาสนใจเราอะไรอย่างนี้ เราก็ยังไม่ได้ให้ความสนใจมาก เป็นคนที่รู้สึกว่าต้องรับผิดชอบเรื่องเรียนให้ได้เต็มที่มากที่สุดครับ เพราะว่าตอนนั้นจริงๆ ตอนใกล้จบ ม.ศ.5 ก็ยังไม่รู้อีกว่าจบ ม.ศ.5 แล้วต้องทำอะไรต่อ

ผู้สัมภาษณ์ : (หัวเราะ)
คุณสุวัฒน์ :
คือไม่รู้น่ะ ว่าต้องเข้ามหา’ลัย ต้องอะไรอย่างนี้นะครับ ไม่รู้เรื่องเลย

ผู้สัมภาษณ์ : คือเรียนเฉพาะหน้าไป...
คุณสุวัฒน์ :
อ้า เป็นวันๆ เหมือนกับแทบจะเรียกเป็นวันๆ ไปก็ได้นะครับ ก็คือเอาตัวรอดเป็นเทอมไปอะไรประมาณนั้น วัดเบญจฯเองช่วงนั้นพูดถึงก็เคี่ยวพอสมควรนะครับ

ผู้สัมภาษณ์ : แล้วไม่มีครูแนะแนวว่า เอ๊ะ จบนี้ต้องไปต่อนั้น?
คุณสุวัฒน์ :
ความจริงสมัยนั้นคงยังไม่เหมือนสมัยนี้น่ะนะครับ แต่ก็มีเหมือนกับว่ามีรุ่นพี่ที่จบการศึกษาไป เข้ามหา’ลัย ไปเขาก็มาให้คำแนะนำอยู่บ้างเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้เป็นกิจจะลักษณะ เป็นลักษณะแบบว่าสนิทกับใครหรืออะไรอย่างนี้ อย่างเช่นเราอยู่ ม.ศ.4 ก็มีพี่ ม.ศ.5 พอเราขึ้น ม.ศ.5 พี่ ม.ศ.5 ก็จบเข้ามหา’ลัยไป แล้วก็อาจจะกลับมาเยี่ยมเยียนหรืออาจจะติดต่อกันอยู่ สมัยนั้นอย่างโทรศัพท์มือถือมันก็ไม่มี อย่างบ้านอยู่ที่ผมพักอาศัยก็ไม่มีโทรศัพท์อะไรอย่างนี้ใช่ไหม ก็เลยติดต่อกับใครนอกเหนือจากเวลาที่... นอกจากจะเจอกันต่อหน้า หรือที่โรงเรียน นอกจากนั้นก็คงเป็นไปได้ยากใช่ไหมครับ ก็เลยไม่ค่อยได้นั่นกับใคร

ผู้สัมภาษณ์ : แล้วติดต่อที่บ้านบ่อยไหมครับช่วงนั้น?
คุณสุวัฒน์ :
ก็ไม่ค่อยบ่อย ตอนช่วงนั้นนี่พอดีก็ย้ายมาอยู่แถวถนนจันทร์ ก็ไปเช่าบ้านอยู่

ผู้สัมภาษณ์ : พอพี่ย้ายมาจากจันทบุรีแล้ว หลังจากนั้น...
คุณสุวัฒน์ :
แล้วพ่อแม่ก็ลงไปอยู่ทางใต้อะไรประมาณนั้นครับ ช่วงปิดเทอมบางทีผมก็ลงไปอยู่ที่ใต้เหมือนกัน ที่สตูล

ผู้สัมภาษณ์ : คือช่วงที่พี่มาเรียนกรุงเทพฯ นี่เขาก็ย้ายกลับไปอยู่ที่ใต้กันแล้ว?
คุณสุวัฒน์ :
อ่า ก็ย้ายจากจันทบุรีออกมา ก็ลงไปอยู่ทางใต้กัน ส่วนผมเองก็ปิดเทอมบางครั้งก็เรียนต่อบ้าง บางทีก็ลงไปอยู่กับพ่อแม่ที่ทางใต้ที่สตูลครับ

ตอนหลังก็โอเค พอช่วง ม.ศ.4-5 ปลายๆ พอดีพี่สาวก็เริ่มจบ เริ่มทำงาน ก็เริ่มมีรายได้พอๆ ฐานะก็ดีขึ้นนะครับ ก็ขยับขยาย อ้อปลายๆ ก็ยังอยู่ที่ตรอกจันทร์อยู่ โชคดีว่ามีเพื่อนที่เคยเรียนจันฯ ด้วยกันแล้วก็มาเจอกันที่วัดเบญจฯ อีก เขาก็ค่อนข้างที่จะคล่อง เพราะว่าตอนที่แยกกันที่จันฯ เขาไปเรียนที่อัสสัมฯ ศรีราชาตอนช่วง ม.ต้น ตอนม.ปลายมาเจอกันที่วัดเบญจฯ ก็เลยสนิทกัน เขาก็เป็นคนแนะนำให้ว่า เฮ้ย มึงต้องเลือกอย่างโน้นอย่างนี้ อะไรอย่างนี้ไหมครับ

ผู้สัมภาษณ์ : ตอนจะเอนฯ ใช่ไหมครับ
คุณสุวัฒน์ :
ตอนจะสอบเอนทรานซ์ ใช่ จริงๆ แล้วเขาเป็นคนเขียนให้ผมหมดซะด้วยซ้ำ เลือกให้ผมหมดซะด้วยซ้ำนะครับ

ผู้สัมภาษณ์ : (หัวเราะ) อ๋อ แล้วอย่างตอนที่กลับไปเยี่ยมบ้านที่ใต้ตอนปิดเทอมนี่เป็นยังไงครับ? เพราะเราเป็นคนต่างจังหวัดด้วย แล้วมาอยู่กรุงเทพฯ แล้วกับไปอยู่... สภาพสังคมเป็นยังไงครับ?
คุณสุวัฒน์ :
จริงๆ ไปอยู่ตรงนั้นนี่มันก็คงไม่ค่อยได้เห็นอะไร แล้วก็วัดอะไรลำบาก ถ้าจะบอกไปก็คือไปอยู่บนเกาะ

ผู้สัมภาษณ์ : เกาะอะไรครับ?
คุณสุวัฒน์ :
เกาะปูยู

ผู้สัมภาษณ์ : เกาะปูยู?
คุณสุวัฒน์ :
อ่า ชื่อเกาะปูยู อยู่ตรงเขตของจังหวัดสตูลครับ จากสตูลนั้นต้องนั่งเรือไปบนเกาะอีก บนเกาะก็จะไม่มีน้ำ ไม่มีไฟ ไม่มีอะไรเลย มันเป็นเตาเผาถ่านไม้โกงกาง

ผู้สัมภาษณ์ : อ๋อ ตอนนั้นไปอยู่ไปทำอะไรครับ? เป็นที่ส่วนตัวไหม?
คุณสุวัฒน์ :
ความจริงพ่อไปช่วยเพื่อน เพื่อนเขาไปสัมปทานได้ป่าไม้โกงกางมาเพื่อเผาถ่าน ส่งออกปีนังไปนะครับ ก็ไปช่วยอยู่เพื่อจะพอมีรายได้บ้าง ปิดเทอมผมก็เลยไปอยู่ที่โน่น

ผู้สัมภาษณ์ : อืม
คุณสุวัฒน์ :
ก็ค่อนข้างลำบาก เพราะไม่มีน้ำ ไม่มีไฟ ไม่มีอะไร มันไม่ค่อยสะดวก

ผู้สัมภาษณ์ : ปัจจุบันนี้คงเป็นที่ท่องเที่ยว (หัวเราะ)
คุณสุวัฒน์ :
เอ่อ ปูยูเองนี่ยังไม่แน่ใจเหมือนกัน ผมก็ตั้งแต่นั้นก็ไม่เคยได้กลับไป ก็เลยไม่ทราบว่าเจริญไปถึงไหน ขนาดไหนยังไงแล้ว

ผู้สัมภาษณ์ : ครับ ทีนี้พอได้เอนฯ ตอน...
คุณสุวัฒน์ :
กลับนั่นแหละ

ผู้สัมภาษณ์ : เอนฯ ตอนปี?
คุณสุวัฒน์ :
’14 ครับ

ผู้สัมภาษณ์ : เป็นยังไงครับ? ตอนนั้นเอนฯ เข้าคณะอะไรครับ?
คุณสุวัฒน์ :
ก็อาจจะโชคดี ดวงดี ฟลุ๊คอะไรหลายๆ อย่างน่ะนะ เพราะว่าก็สอบเข้าที่เศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ได้ครับ ก็มีเพื่อนวัดเบญจฯ เข้ามาด้วย 2-3 คน แล้วขณะเดียวกันก็ไปเจอเพื่อนเซนต์คาเบรียลสมัยเรียน ม.ศ.3 ด้วยกัน ก็เข้ามาอีกประมาณเกือบ 10 คน ก็เลยมีเพื่อนหน่อยครับ แต่ก็ปรับตัวไปได้เยอะแล้วตอนนั้น หลังจาก 4 ปีที่มาอยู่กรุงเทพฯ

แล้วก็เข้ามหา’ลัยก็ เรียนที่นี่ก็ความรู้สึกที่แตกต่างอะไรหลายๆ ด้าน ก็คงน้อยลงไปเยอะ เพราะที่นี่เป็นธรรมศาสตร์ ค่อนข้างที่จะให้ความเสมอภาค ก็ทำให้รู้สึกสบายใจขึ้น

ผู้สัมภาษณ์ : อยากให้ช่วยเล่าบรรยากาศตอนที่เรียนปี 1 น่ะครับ เป็นยังไงบ้างครับที่ธรรมศาสตร์?
คุณสุวัฒน์ :
ก็มากันหลากหลาย จาก ม.ปลาย หลายโรงเรียนอะไรอย่างนี้ใช่ไหมครับ แต่ก็ค่อนข้างที่จะเข้ากันได้ดี ที่คณะก็มีอยู่ 150 คน ภาคปกติ แล้วก็มีภาคค่ำอีก ผมไม่แน่ใจว่ากี่คนนะครับ แต่ว่าภาคค่ำนี่สมัยนั้นก็คือจริงๆ แล้วเปิดขึ้นมาเพื่อจะให้ผู้ทำสำเร็จการศึกษาแล้ว ทำงานแล้วนี่ได้มาเพิ่มวิทยฐานะ มาเรียนเอาปริญญาตรีอะไรประมาณนั้น

แต่ก็มีบางคนที่จบรุ่นเดียวกับเราแต่ว่าสอบเข้าภาคปกติไม่ได้ แต่ก็ได้ภาคค่ำ เพราะฉะนั้นพวกนี้ก็จะไม่มีงานทำกลางวัน ก็เป็นรุ่นๆ เดียวกัน ส่วนใหญ่ก็จะเป็นพวกมีอายุแล้วที่มาเสริมใช่ไหมครับ ก็จะเป็นอยู่กลุ่มหนึ่งซึ่งจบมาพร้อมกับเรา เพราะฉะนั้นกลางวันก็ไม่ได้ทำงาน ก็อาศัยมาเรียนกลางคืนอย่างเดียวนะครับ เพราะฉะนั้นกลางวันก็ว่างก็ไปที่คณะ ก็ทำให้เกิดความสนิทสนมกันขึ้นกับภาคค่ำ ซึ่งจริงๆ แล้วเราแทบจะแยกกัน ไม่ค่อยได้สุงสิงกัน แต่เรามีโอกาสที่ได้เจอ เพราะฉะนั้นด้วยความที่แบบเรียนปี 1 ความจริงมันก็ไม่ได้มีอะไรมาก แล้วก็...

ผู้สัมภาษณ์ : มีกิจกรรมรับน้อง มีอะไรอย่างนี้ไหมครับ?
คุณสุวัฒน์ :
ก็เรื่องปกตินะครับ ก็มีอยู่ปกติ แล้วก็ด้วยความที่ไม่เคยทำกิจกรรมตอนเรียนมาอะไรมานะครับ แล้วก็ไม่มีใครมาควบคุมดูแล ไม่อะไร ก็ทำให้เราเจอโลกอีกโลกหนึ่งครับ เป็นโลกใหม่ ก็ค่อนข้างที่จะใช้ความอิสระเต็มที่ เหมือนธรรมศาสตร์นี่ก็แบบ...

ผู้สัมภาษณ์ : ทำอะไรบ้างครับ? ที่บอกว่าอิสระเต็มที่ (หัวเราะ)
คุณสุวัฒน์ :
ก็นอกจากเรียนแล้ว ก็นี่แหละเพื่อนฝูงมาสนุกสนานกันนะครับ เตะตะกร้อเล่นกันบ้าง ความจริงตอนปี 1 นี่ก็ยังไม่ได้ทำอะไรเท่าไหร่ ก็จะเป็นห่วงว่าเดี๋ยวการเรียนจะเสียอะไรประมาณนั้น ก็พยายามมุ่งเรื่องเรียนอยู่นะครับ

ผู้สัมภาษณ์ : กิจกรรมก็ไม่ได้ทำ?
คุณสุวัฒน์ :
กิจกรรมก็จะมีกับเพื่อนฝูงนิดๆ หน่อยๆ อะไรอย่างนี้ ก็ยังไม่ได้ร่วมกิจกรรมของมหา’ลัย หรือของคณะที่เป็นชมรมอะไรต่างๆ ยังไม่ค่อยได้ทำตรงนั้น คืออยู่ระหว่างช่วงที่ศึกษาดู ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนฝูงหรือกิจกรรมหรืออะไรประมาณนั้น ก็มีบังเอิญไปช่วยทางด้านชมรมเชียร์อยู่นะครับ ก็ดูในส่วนของเรื่องรหัสแปรอักษรในฟุตบอลประเพณี แล้วก็รักบี้ประเพณีจุฬา-ธรรมศาสตร์ อะไรประมาณนั้น

ผู้สัมภาษณ์ : อันนั้นไปเป็น Staff หรือว่าเป็นยังไงครับ?
คุณสุวัฒน์ :
ก็เข้าไปช่วยเขาทุกอย่างครับ เขาให้ทำอะไรก็ช่วยหมดทุกอย่าง

ผู้สัมภาษณ์ : เข้าไปได้ยังไงครับ?
คุณสุวัฒน์ :
ก็จะมีพวกรุ่นเดียวกันนี่เขาสนิทกับรุ่นพี่ เขาก็ชวนๆ แล้วก็จะมีพวกภาคค่ำนี่ด้วยแหละ กลางวันเขาว่างเขาก็มาช่วยงานอะไรอย่างนี้ใช่ไหม เราคุยๆ ไป เฮ้ย กูทำนี่ เอ้า ก็เข้าไป ความจริงแล้วก็คือจะเรียกว่าไปแลกข้าวกินก็ยังได้

ผู้สัมภาษณ์ : (หัวเราะ) ยังไงครับ?
คุณสุวัฒน์ :
ก็คือหมายความว่าไปช่วยงานเขานี่ เขาก็มีข้าวเลี้ยงให้อะไรให้อย่างนี้น่ะนะครับ

ผู้สัมภาษณ์ : อ๋อ
คุณสุวัฒน์ :
เราก็เลย เออเฮ้ย ตรงนี้ก็ดีเหมือนกัน ไม่ต้องเสียเงินซื้อข้าวกินใช่ไหมครับ ก็ไปช่วยเขาทำ

ผู้สัมภาษณ์ : (หัวเราะ)
คุณสุวัฒน์ :
แต่ก็ทำอยู่ได้ปีเดียวน่ะ ปี 1 ที่ไปช่วย ก็สนุกดี ก็ทำให้มีความรู้ชอบมากขึ้น ทำให้รู้จักเพื่อนฝูงมากขึ้น ต่างคณะ รุ่นพี่ อะไรประมาณนั้น ความจริงแล้วช่วงนั้นก็เรียกได้ว่ากินนอนอยู่ธรรมศาสตร์ กินนอนอยู่ที่นั่นเลย ไม่ได้กลับบ้านเลย

ผู้สัมภาษณ์ : ก็คือนอนที่ชมรมเชียร์เหรอครับ?
คุณสุวัฒน์ :
อ้า เขาจะมีห้องที่จะทำตรงนี้นะครับ

ผู้สัมภาษณ์ : อันนี้เป็นเหมือนขาประจำแบบ... (หัวเราะ)
คุณสุวัฒน์ :
ก็ประมาณอย่างนั้นครับ เพราะว่าด้วยเหตุผลฐานะทางบ้าน ก็ยังไม่ดีเท่าไหร่ ก็เลย...

ผู้สัมภาษณ์ : ตอนนั้นนี่ยังพักอยู่ที่แถวถนนจันทร์?
คุณสุวัฒน์ :
อยู่ที่ตรอกจันทร์ครับ อยู่ตรอกจันทร์

ผู้สัมภาษณ์ : ตรอกจันทร์อยู่เหมือนเดิม
คุณสุวัฒน์ :
ก็ถ้าเผื่อว่าวันไหนตื่นเช้าแม่มีตังค์ก็ขอ 10 บาท

ผู้สัมภาษณ์ : อืม มหา’ลัย นี่นะครับ? (หัวเราะ)
คุณสุวัฒน์ :
ถ้าไม่มีก็ขอ 50 สตางค์ - 50 สตางค์ นี่ก็เพราะว่าจากตรอกจันทร์สะพาน 2 ครึ่ง ก็เดินมาถึงเจริญกรุง จากเจริญกรุงก็นั่งรถเมล์สาย 1, สาย 75 มาลงท่าช้าง แล้วก็เดินจากท่าช้างต่อไปธรรมศาสตร์ครับ

ผู้สัมภาษณ์ : อืม
คุณสุวัฒน์ :
แต่ผมก็อาจจะโชคดีหลายๆ อย่างนะครับ ตรงที่ว่ามีเพื่อนที่ดี นี่เป็นสิ่งที่คิดว่าได้จากที่ธรรมศาสตร์ครับ ก็ได้เพื่อนดีๆ เยอะที่ช่วยกัน คือที่ขอ 50 สตางค์ นี่เราก็หายไปเดือนหนึ่งเลย ไม่กลับบ้านเลย

ผู้สัมภาษณ์ : 50 สตางค์นี่นะครับ?
คุณสุวัฒน์ :
อืม

ผู้สัมภาษณ์ : ก็ไปอยู่?
คุณสุวัฒน์ :
ก็อยู่นั่นแหละ กินนอนอยู่ธรรมศาสตร์แหละครับ

ผู้สัมภาษณ์ : เสื้อผ้าอย่างนี้ล่ะครับ?
คุณสุวัฒน์ :
เสื้อผ้าก็นั่นล่ะมีอยู่ชุดสองชุด หรือของใครแขวนๆ ไว้อะไรก็หยิบใส่กันไป ทุกคนก็จะรู้กันหมดครับ เราก็จะโชคดีน่ะตรงที่ว่ามีเพื่อนดีๆ

ผู้สัมภาษณ์ : แล้วคนที่ทำอย่างพี่มีเยอะไหมครับ? หรือว่าเป็นเอกลักษณ์ปัจเจกบุคคล? (หัวเราะ)
คุณสุวัฒน์ :
ก็มี แต่ผมว่าอาจจะด้วยหลายๆ เหตุผลนะครับ คงจะแตกต่างกันไป อย่างผมเองก็อย่างที่รู้ก็คือเหตุผลทางด้านเศรษฐกิจอะไรตรงนี้นะครับ ก็คิดว่าถ้ากลับไปบ้านก็ไปเพิ่มภาระให้กับพ่อแม่ เรื่องน้ำ เรื่องไฟ เรื่องข้าว เรื่องอะไรประมาณนี้

ความจริงก็สงสารเขาเหมือนกันคิดย้อนหลังไปน่ะนะ พอเดือนหนึ่งก็กลับบ้านทีหนึ่ง ก็เมื่อก่อนมันไม่มีมือถือ ไม่มีอะไร ตอนนั้นเขาก็เลยไม่รู้ว่าเราไปอยู่ไหน อะไรยังไงใช่ไหมครับ ก็ติดต่อไม่ได้ แต่เขาก็คงจะชินพอสมควรเหมือนกันที่เห็นเราหายไป

ผู้สัมภาษณ์ : แล้วที่ชมรมเขามีข้าวเลี้ยงทุกมื้อเลยเหรอครับ? (หัวเราะ)
คุณสุวัฒน์ :
ครับๆ คือทางประธานชมรมนี่... เปรียบเทียบกันไม่ทราบว่าจะอ้างอิงสถาบันอื่นได้ไหม เขาบอกถ้าเป็นของจุฬาฯ นี่จะรวย แต่ของธรรมศาสตร์นี่จบมาแล้วทำงานอีก 10 ปี ก็ยังใช้หนี้ไม่หมด เพราะว่าเงินสนับสนุนจากมหา’ลัย น้อยมากนะครับ แล้วปีนั้นเป็นปีที่ทางประธานชมรมเชียร์ทำอะไรที่ค่อนข้างจะใหญ่มากๆ ใช้เงินเยอะ อะไรเยอะนะครับ ก็เลยทำให้... แต่ผลงานออกมาแล้วทุกคนก็เป็นที่กล่าวขวัญนะครับตอนนั้น

ผู้สัมภาษณ์ : อืม
คุณสุวัฒน์ :
ก็ได้หน้าได้ตาไป ปีนั้นก็... ไม่ได้ไปทับถมเขานะ แต่ว่าเราชนะเขาขาดเลยเรื่องแปรอักษรอะไรอย่างนี้นะครับ เป็นอะไรที่ทุกคนทึ่งน่ะ แต่เราก็ทุ่มเทกันเยอะนะครับ ทำกันแบบว่าไม่ได้กินไม่ได้นอนอะไรประมาณนั้นน่ะนะครับ

ก็หมกตัวอยู่ที่นั่นน่ะ คือเย็นนี่ถ้านั่งใต้คณะใต้ตึกเขาเรียก Common Room ใต้คณะจะเป็นที่ว่าง เป็นโต๊ะเก้าอี้ให้นั่งอะไรอย่างนี้ เพื่อนที่สนิทๆ จะรู้เลยว่าเห็นผมนั่งอยู่นี่ เขาจะชวนแล้ว เฮ้ย ไปนอนบ้านกู เฮ้ย ไปกินข้าวบ้านกู ก็เจอเพื่อนดีๆ บางคนก็ไปนอนบ้านเขาเสร็จ เช้าเขาก็ เฮ้ย เอ้า เสื้อผ้า มึงดูสิ มีตัวไหนใส่ได้มึงก็เอาไปอะไรประมาณนี้

ผู้สัมภาษณ์ : อ๋อ
คุณสุวัฒน์ :
จะพูดถึงได้ก็คือคุณชนินทร์ ซึ่งเป็น CEO ของบริษัท บ้านปู จำกัด มหาชน

ผู้สัมภาษณ์ : อ๋อ เห็นพี่ประเสริฐพูดถึงครับ
คุณสุวัฒน์ :
อ้า สำหรับเขาแล้วมันแทบจะจิ๊บจ๊อยน่ะใช่ไหมครับ แต่สำหรับเรา เออเฮ้ย มันเป็นอะไรที่มัน...

คือเพื่อนจะรู้ว่าตกเย็นมานี่... มีเพื่อนอยู่กลุ่มหนึ่งก็หลายคนพอสมควรที่จะรู้ว่าเราเป็นยังไง อะไรยังไงใช่ไหมครับ หรือตอนเย็นๆ ก็ เฮ้ย ไปกินเหล้ากัน บอกกูไม่มีตังค์ เขาว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวกูออกให้ อะไรประมาณนี้ สมัยนั้นไปกินกันหลังสวน 10 บาท ก็เมากันแปร้แล้ว

ผู้สัมภาษณ์ : (หัวเราะ)
คุณสุวัฒน์ :
ก็ค่อนข้างจะใช้ชีวิตที่แตกต่างไปจากที่เดิมๆ ที่เคยทำมา

ผู้สัมภาษณ์ : พี่สังเกตไหมครับว่ามีคนแบบคล้ายๆ พี่บ้างไหมครับ?
คุณสุวัฒน์ :
เอ่อ ก็พอมีน่ะนะ แต่ว่าก็ที่สนิทๆ กันอะไรอย่างนี้ เขาจะเป็นไม่ใช่ว่าด้วยเหตุผลเดี๋ยวกับผมมากกว่า ผมคิดว่านะ คือเหตุผลที่เขาอาจจะชอบกิจกรรมจริงๆ อะไรอย่างนี้ใช่ไหมครับ แต่ผมนี่อาจจะมี hidden agenda อยู่บ้างนิดหน่อยอะไรประมาณนั้นนะครับ

ผู้สัมภาษณ์ : (หัวเราะ)
คุณสุวัฒน์ :
ก็แม้แต่เงินลงทะเบียนเอย อะไรเอย ก็กว่าจะลงทะเบียนอะไรทีก็ต้องหากันพอสมควร บางทีก็ไปทำงานพิเศษ

ผู้สัมภาษณ์ : ครับ ทำอะไรบ้างครับ?
คุณสุวัฒน์ :
อยู่ที่สนามกอล์ฟกรุงเทพกรีฑา น่ะ สมัยนั้นก็มีคนเขาชวนมา ทำเฉพาะเสาร์-อาทิตย์นะครับที่จะทำ ก็มาเป็นเด็กเสิร์ฟ ได้วันละ 50 บาท สมัยนั้นก็นับว่าเยอะมาก

ผู้สัมภาษณ์ : โอ เยอะครับ เยอะมาก
คุณสุวัฒน์ :
เราก็ต้องตื่นตั้งแต่ตี 4 ตี 5 มา ก็อย่างที่รู้ว่ากอล์ฟก็คือเอากันแต่เช้า แต่วันไหนถ้าเขามีแข่งกันอะไรอย่างนี้ ตอนเย็นเลี้ยงแจกถ้วยก็ต้องอยู่ต่อ

ผู้สัมภาษณ์ : มีโอทีไหม? (หัวเราะ)
คุณสุวัฒน์ :
ไม่มีน่ะ มีแต่บี้ทิป ก็คือจริงๆ ทิปก็ได้วันหนึ่งก็สัก 30-40-50 อะไรก็แล้วแต่คนแล้วแต่วัน บางทีเป็นร้อย แต่ก็ได้เฉพาะเสาร์-อาทิตย์

ผู้สัมภาษณ์ : ครับ
คุณสุวัฒน์ :
แล้วก็มีอีกช่วงหนึ่งที่ปิดเทอมก็ไปเป็นพนักงานขายที่ Central สมัยนั้นก็เป็น Central สีลม ก็ได้วันละ 25 บาท

ผู้สัมภาษณ์ : โอ น้อยกว่ากอล์ฟอีกนะครับ?
คุณสุวัฒน์ :
อ้า วันละ 25 บาท แต่ก็มีข้าวให้ทานมือหนึ่งอะไรประมาณนั้น แต่เป็นช่วงสั้นๆ ช่วงปิดเทอม จำได้ว่าเป็นประมาณเดือนตุลา สมัยนั้นก็ยังมีประมาณสัปดาห์สินค้าไทยอะไรอย่างนี้ แล้วเขามีกิจกรรมพิเศษ มีบูธเพิ่มเติมมาอะไรมา ก็เลยต้องการพนักงานชั่วคราว ก็เคยทำอยู่เดือนหนึ่ง

ผู้สัมภาษณ์ : แล้วค่าเทอมประมาณเท่าไหร่ครับ?
คุณสุวัฒน์ :
ค่าเทอมสมัยนั้นนี่หน่วยกิตละ 25 บาท เทอมหนึ่งก็เรียนประมาณสัก 20 กว่าหน่วยกิต ก็ 500 กว่าบาทครับ ไปพูดถึงตรงนี้แล้วนี้บางทีด้วยความที่มันไม่พร้อมในหลายๆ ด้าน มันก็เลยทำให้ไม่มีแผน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเงิน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคำแนะนำ รวมทั้งความอิสระที่เราได้มา บางทีอาจจะอยู่กับพ่อแม่แต่ว่าก็ค่อนข้างอิสระ อย่างที่บอกเดือนหนึ่งก็ไม่ได้กลับบ้านอะไรอย่างนี้ใช่ไหมครับ ก็เลยทำให้การเรียนไม่ค่อยดี

ผู้สัมภาษณ์ : อ่า get แล้วครับ
คุณสุวัฒน์ :
เพราะไม่ค่อยได้เรียนนะครับ ไม่ค่อยได้เรียนก็เพราะหลายอย่าง ก็คืออาจจะกิจกรรมบ้าง เตลิดเปิดเปิงไปกับเพื่อน ก็ตอนปี 3 ก็ไปออกค่ายที่โคราช ของโรตาแรคท์

ผู้สัมภาษณ์ : ปี 3 นี่ปีไหนแล้วครับ?
คุณสุวัฒน์ :
เอ่อ ’14-’15-’16

ผู้สัมภาษณ์ : เข้า ’14-’15 อ๋อ ’16 ก็ช่วงเหตุการณ์พอดี
คุณสุวัฒน์ :
เอ่อ ก็ใครชวนไปทำกิจกรรมอะไรอย่างนี้ เห็นว่า เออ มันน่าทำ สนใจ สนุก อะไรก็ไป ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายอะไรเป็นกิจลักษณะนะครับ

ผู้สัมภาษณ์ : อืม
คุณสุวัฒน์ :
แต่พูดถึงค่าหน่วยกิตนี่ จะว่าไปบางทีผมเรียน 4 ปีก็เกรดเกิน 2 หน่วยกิตก็เกินที่กำหนดแต่ไม่จบ เพราะติดอยู่ข้อหนึ่งก็คือว่า เฉพาะวิชาคณะนี่ต้องได้ 2 ผมติด D อยู่ตัวหนึ่งก็เลยไม่จบ พอไม่จบปุ๊บนี่ เพื่อนฝูงมันจบกัน ตอนนั้นก็คิดแบบบ้าๆ บอๆ ตามสไตล์ กะว่าไม่เป็นไรเรียนปี 5

ผู้สัมภาษณ์ : (หัวเราะ)
คุณสุวัฒน์ :
เพราะตอนนั้นก็ไว้ผมยาวด้วย อะไรด้วย ก็อิสระเต็มที่ ก็กะว่าจะเรียนปี 5 ต่ออีกปีหนึ่งแค่วิชาเดียวนี่นะ ปรากฏว่าเพื่อนที่เข้ามาด้วยกันนี่เขาก็ไม่ยอม เขาบอกว่าไม่ได้ มึงเข้าพร้อมกู มึงต้องออกพร้อมกู เขาว่าอย่างนี้ใช่ไหมครับ

ผู้สัมภาษณ์ : อืม ครับ
คุณสุวัฒน์ :
ก็ความจริงประกาศเกรดไปเรียบร้อยหมดแล้วนะครับ ลงทะเบียน summer ก็ลงไปเรียบร้อยหมดแล้ว แต่เขาเปิดสิทธิ์ให้สำหรับคนที่จะจบ ยังสามารถที่จะลงได้ ผมติดอยู่วิชาเดียวจริงๆ

ผู้สัมภาษณ์ : ลงไหน? ลง Summer เหรอครับ?
คุณสุวัฒน์ :
อ่า ลง summer เขาปิดลงไปแล้ว แต่คนที่มีสิทธิ์จบนี่เขาก็ยังเปิดโอกาสให้ใช่ไหมครับ เพื่อนรู้ก็เลยลากไปบอก มึงจะเรียนวิชาไหน มึงจิ้มมา ผมบอก กูไม่มีเงิน เขาบอก มึงจิ้มไป เดี๋ยวกูออกเงินค่าลงทะเบียนให้เอง

ผู้สัมภาษณ์ : Summer นี่แพงกว่าปกติไหมครับ?
คุณสุวัฒน์ :
จำไม่ได้ คิดว่าไม่น่าจะนะ แต่แพงก็คงไม่แพงกว่าเท่าไหร่ ถ้า 3 หน่วยกิตก็ประมาณ... ผมว่าจะแพงกว่ายังไงก็คงระดับ 100-200 บาทเต็มที่นะครับ เพราะภาคปกติหน่วยกิตละ 25 บาท

ผู้สัมภาษณ์ : ครับ
คุณสุวัฒน์ :
ก็เพื่อนลงจัดการให้หมด ออกเงินให้เสร็จเลย เพราะผมไม่มีเงินนะครับ เพื่อนก็จัดการให้ ความจริงเราจบมาได้ก็เพื่อนช่วยเยอะนะครับ แล้วความจริงจบมาก็รับปริญญาก็แทบจะเป็นคนสุดท้ายของคณะ

ผู้สัมภาษณ์ : (หัวเราะ)
คุณสุวัฒน์ :
เพราะ summer ด้วย แล้วก็เกรดแค่ 2.17 ด้วยอะไรอย่างนี้

ผู้สัมภาษณ์ : อ๋อ เขาไม่ได้เรียงอักษรเหรอครับ?
คุณสุวัฒน์ :
เขาเรียงเกรดจากเกียรตินิยมมาก่อน เรียงเกียรตินิยมก่อนแล้วไม่แน่ใจ... แต่ว่ายังไงก็ตาม summer ก็มาต่อท้าย ผมจำไม่ได้ รู้สึกจะเรียงตามเกรดล่ะมั้ง

ผู้สัมภาษณ์ : เกียรตินิยมรับก่อน แต่ว่าพอพวกต่ำกว่าเกียรตินิยมนี่ก็จะไปตามเกรด ?
คุณสุวัฒน์ :
อ่า จำไม่ได้แน่นอนน่ะนะครับ แต่ว่ายังไงซะก็จบ 4 ปีก่อน ต่อ summer อีกอะไรประมาณนั้นแหละ เท่าที่จำได้นะครับ เพราะฉะนั้นผมก็แทบจะเป็นคนท้ายๆ ของคณะ ทีหลังมาก

ผู้สัมภาษณ์ : ช่วงพอปี 1 หลักๆ ก็คือทำกิจกรรมไปด้วยใช่ไหมครับ? แล้วก็มากินมานอน อาศัยอยู่กับเพื่อนอะไรอย่างนี้?
คุณสุวัฒน์ :
ใช่ๆ

ผู้สัมภาษณ์ : แต่ว่าเกรดก็เกิน 2 อยู่?
คุณสุวัฒน์ :
อ้า เพราะว่าตอนปี 1 มันเรียนวิชาพื้นฐาน ซึ่งส่วนใหญ่ก็ไม่ยากเท่าไหร่ครับ

ผู้สัมภาษณ์ : ช่วงปี 1 นี่นอกจากกิจกรรมของชมรมเชียร์แล้ว ตอนนั้นรู้สึกว่ามันจะเริ่มมีการรณรงค์ของนักศึกษาที่เกี่ยวกับเรื่องของต่อต้านสินค้าญี่ปุ่น
คุณสุวัฒน์ :
อ้า ใช่ๆ ก็มีทั้งต่อต้านสินค้าญี่ปุ่น ก็มีทั้งพวกภาษา อย่างเช่นว่าป้ายบริษัทอะไรอย่างนี้ ถ้าเป็นภาษาอังกฤษตัวใหญ่ๆ นี่ก็จะโดนนักศึกษาเขาไปต่อต้านอะไรกันใช่ไหมครับ

ก็เริ่มเห็นกลิ่นไอของการประท้วงนะครับ สิทธิเสรีภาพต่างๆ ก็คงไม่ต้องออกไปไกล เฉพาะในธรรมศาสตร์เองก็มีให้เห็น เพราะว่ารุ่นพี่ผมนี่... ผมเข้าปี ’14 รุ่นพี่ปี ’13 นี่ความจริงทางมหา’ลัยก็ประกาศว่าจะใช้ระบบหน่วยกิต เพราะก่อนหน้านั้นจะเป็นระบบเปอร์เซ็นต์นะครับ ปี ’13 นี่เป็นปีแรกที่ใช้ระบบหน่วยกิต แต่ปรากฏว่าก็โดนพวกนักศึกษาบางส่วนไม่เห็นด้วย ก็มีการเดินขบวนประท้วงกัน ถือป้ายต่อต้านหรือว่าต่อว่าทางมหาวิทยาลัยอะไรประมาณนั้น

ผู้สัมภาษณ์ : นี่ของธรรมศาสตร์? เฉพาะธรรมศาสตร์?
คุณสุวัฒน์ :
ภายในเองเลย ภายในธรรมศาสตร์เองเลยนะครับ สุดท้ายก็เลยมีการสรุปกันว่า โอเค ถ้าอย่างนั้นปี ’13 นี่ให้เลือกกันเองแล้วกัน ว่าคุณจะเอาระบบเปอร์เซ็นต์หรือจะเอาระบบหน่วยกิต เลือกได้

ผู้สัมภาษณ์ : เฉพาะรหัส 13?
คุณสุวัฒน์ :
อ้า เฉพาะรหัส 13

ผู้สัมภาษณ์ : อืม
คุณสุวัฒน์ :
แต่ผมปีเข้า ’14 นี่ถ้าจะพูดไปก็ถือว่าเป็นหน่วยกิตรุ่นแรกเลยที่บังคับ คือไม่ให้เลือกแล้วนะครับ

ผู้สัมภาษณ์ : สรุปแล้วปี ’13 นี่เขาเลือกเปอร์เซ็นต์หรือเลือกหน่วยกิต?
คุณสุวัฒน์ :
ไม่แน่ใจเหมือนกันครับ ก็เป็นรุ่นพี่เลยไม่ทราบเขาว่าอะไรยังไง

ผู้สัมภาษณ์ : ครับ
คุณสุวัฒน์ :
ก็ปีนั้นก็พอดีปี ’14 จำได้ว่าจะเป็นปีแรกที่รามฯ เปิดมหา’ลัย พอดีนะครับ

ผู้สัมภาษณ์ : ครับ ใช่
คุณสุวัฒน์ :
เพราะฉะนั้นเปิดมาใหม่ๆ มันก็เป็นอะไรที่ของใหม่อะไรอย่างนี้ใช่ไหมครับ พวกสอบเอนทรานซ์ไม่ได้ทั้งหลายแหล่ก็ไปเรียนต่อกันที่รามฯ แล้วสถาบันก็มีการรวมกลุ่ม รวมอะไรกันขึ้นมา แล้วเขาก็มีจัดตั้งชมรม ก็เหมือนมหา’ลัย ปิดทั่วๆ ไปน่ะนะครับ เพียงแต่ว่าคนก็มากกว่าแล้วก็ activities อะไรต่างๆ เขาก็ค่อนข้างที่จะเจอ เพราะว่าเปิดมหา’ลัย เปิด เรียนก็ได้ ไม่เรียนก็ได้ เอาให้มันผ่านก็แล้วกันอะไรอย่างนี้ใช่ไหม มันก็อาจจะมีบางส่วนที่เข้าไปเพื่อไปหา connection เพื่อไปจุดกระแสอะไรประมาณอย่างนั้น มากกว่าที่จะตั้งใจเข้าไปเรียนจริงๆ อะไรประมาณนั้น ก็ช่วงนั้นก็เบ่งบานนะครับประชาธิปไตย

ผู้สัมภาษณ์ : แล้วโดยส่วนตัวนี่ พอมีกระแสอย่างนี้มานี่พี่สนใจไหม?
คุณสุวัฒน์ :
ก็เริ่มสนใจ

ผู้สัมภาษณ์ : ตั้งแต่ปี 1 เลยไหมครับ?
คุณสุวัฒน์ :
ก็เริ่มสนใจว่า...

ผู้สัมภาษณ์ : ได้เข้าร่วมบ้างไหมครับ? หรือว่ายังไง?
คุณสุวัฒน์ :
ก็ความจริงแล้วยังไม่ได้เข้าร่วมอะไรมากมายทางด้านการเมืองน่ะนะครับ แต่จะมีทางด้านกิจกรรมภายในของธรรมศาสตร์มากกว่า

ผู้สัมภาษณ์ : แล้วที่พี่เห็นว่ามันเริ่มมีคนออกมาต่อต้านสินค้า รณรงค์เรื่องโน้นเรื่องนี้นี่ รับรู้จากไหน? จากเห็นประจักษ์? หรือว่าหนังสือพิมพ์? หรือว่าเพื่อนมาบอก?
คุณสุวัฒน์ :
หนังสือพิมพ์จริงๆ แล้วก็ไม่ได้อ่าน ก็ได้จากฟังข่าว หนังสือพิมพ์ก็บ้าง แต่ว่าได้รับรู้จาก...

ผู้สัมภาษณ์ : หลักๆ นี่คือ?
คุณสุวัฒน์ :
จากในภายในมหา’ลัย เองครับ

ผู้สัมภาษณ์ : อืม
คุณสุวัฒน์ :
ก็จะมีโปสเตอร์ติดใช่ไหมครับ รณรงค์อะไรกันประมาณนั้น ก็เลยได้รับทราบตรงนั้นบ้าง

ผู้สัมภาษณ์ : แล้วมีพวกจับกลุ่มพูดคุยแบบไฮด์ปาร์กแล้วยังครับตอนนั้น?
คุณสุวัฒน์ :
ช่วงนั้นก็ไม่มีน่ะครับ ไม่มี

ผู้สัมภาษณ์ : เป็นโปสเตอร์เป็นหลัก?
คุณสุวัฒน์ :
อ้า เป็นโปสเตอร์เป็นหลัก แล้วก็อาจจะมีการบรรยายอะไรประมาณนั้นนะครับ ขึ้นอยู่กับชมรมที่เขาจะจัดกันอะไรกันครับ แต่ว่าใน public จริงๆ ผมไม่ค่อยเห็นนะ อาจจะไม่ได้สนใจด้วยอะไรยังงั้น ไม่เห็น

ผู้สัมภาษณ์ : แล้วพอขึ้นปี 2 ล่ะครับ?
คุณสุวัฒน์ :
ปี 2 เองก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากปี 1 มากมาย แต่ว่าความเข้มข้น ความสนใจอะไรก็เริ่มมีมากขึ้นนะครับ ก็อย่างที่รู้คือประกอบกับฐานะทางบ้านอะไรอย่างนี้ มันก็เลยทำให้เราไม่ค่อยจะมีกะจิตกะใจที่จะเรียนเท่าไหร่ ก็เลย...

ผู้สัมภาษณ์ : แต่เห็นบอกว่าชมรมเชียร์ที่เคยอยู่ 1 ปีนี่ พอปี 2 ก็ไม่อยู่แล้ว
คุณสุวัฒน์ :
อ่า ปี 2 นี่ก็ออกมาแล้วครับ

ผู้สัมภาษณ์ : เป็นเพราะอะไรครับ?
คุณสุวัฒน์ :
ก็อยากจะไปหาอะไรอย่างอื่นทำมากกว่า คือทำเชียร์นี่ทำ 2 ส่วนเลย พอปี 2 นี่มาทำเชียร์คณะ

ผู้สัมภาษณ์ : อ๋อ กลับเข้ามาเชียร์คณะ?
คุณสุวัฒน์ :
อ่า ครับ ทำเชียร์คณะของเศรษฐศาสตร์เอง ก็ไป train รุ่นน้องปี 1

ผู้สัมภาษณ์ : แล้วนอกจากทำเชียร์คณะแล้ว ทำอย่างอื่นอีกไหมครับ?
คุณสุวัฒน์ :
ตอนนั้นเท่าที่จำได้ก็ไม่ค่อยได้ทำอะไร

ผู้สัมภาษณ์ : นี่เริ่มปี ’15 แล้วใช่ไหมครับ?
คุณสุวัฒน์ :
มันจะคาบเกี่ยว ’14 ถึง ’15 – ’15 ถึง ’16 ครับ

ผู้สัมภาษณ์ : กิจวัตรประจำวันก็คือเป็นอย่างนี้...
คุณสุวัฒน์ :
ไปเฮฮาเป็นหลัก ไปโน่นไปนี่

ผู้สัมภาษณ์ : แล้วเพื่อนเริ่มมีการพูดกันไหมครับว่า เฮ้ย บ้านเมืองมันอย่างนี้ๆ เริ่มมีคนพูดบ้างไหมครับในกลุ่ม?
คุณสุวัฒน์ :
จริงๆ แล้วนี่ก็ไม่ได้โดยตรง แต่ในภาพรวมที่ได้ยิน ก็อย่างเช่นเริ่มมีการประท้วงกันเป็นขบวนมากขึ้น แล้วก็ได้ข่าวอย่างในท้องที่ของ สน.ชนะสงคราม ที่ธรรมศาสตร์อยู่ในท้องที่ สน.ชนะสงครามใช่ไหมครับ ก็ได้ยินแว่วๆ มา เขาก็พูดๆ กันอะไรอย่างนี้ว่า เฮ้ย ธรรมศาสตร์นี่มันหัวเอียงซ้าย อะไรกันประมาณนั้นนะครับ เราบอก คณะไหนวะ นิติฯ หรือ รัฐศาสตร์ บอกไม่ใช่ ไอ้พวกเศรษฐศาสตร์น่ะแหละ

ผู้สัมภาษณ์ : อ้าว
คุณสุวัฒน์ :
อาจจะเป็นเพราะว่าเรียนเศรษฐศาสตร์มา ก็เลยรู้เรื่องสังคมนิยม เรื่องคอมมิวนิสต์ เรื่องประชาธิปไตยอะไรประมาณนั้นใช่ไหมครับ แล้วก็เห็นข้อแตกต่าง เพราะว่าเรียนมานี่ต้องรู้ว่ามันแตกต่างกันยังไง อะไรเป็นยังไงใช่ไหมครับ

ความจริงพวกเสกสรรค์ พวกอะไรอย่างนี้ก็เห็นหน้ากันอยู่ ก็พวกแกนนำ 14 ตุลา ทั้งหลายแหล่ ช่วงนั้นก็เห็นหน้ากันอยู่ประจำ เพราะเรียนคณะก็ใกล้ๆ

ผมว่าก็คงจะหลายๆ ส่วนน่ะนะครับ หนึ่ง กระแสตรงนั้น สอง ความที่เป็นธรรมศาสตร์ ซึ่งก็เป็นมหา’ลัยที่ค่อนข้างจะอยู่ในส่วนร่วมกับทางการปกครอง อาจจะเนื้อหาวิชาที่เรียนมามันเป็นลักษณะนิติฯ อะไรพวกนี้น่ะนะครับ แล้วก็อาจจะเป็นด้วยแกนนำช่วงนั้น เหมือนกับมีความอิสระทางความคิดมากขึ้น ที่เดิมๆ นักศึกษาก็จะเป็นเด็กมหา’ลัย ที่เชื่อฟังอาจารย์อะไรนะครับ หลายๆ อย่าง แล้วก็บรรยากาศของนักศึกษาเองที่มีการให้ข้อมูลข่าวสารตรงนี้ ปลุกเร้ากันอยู่เรื่อยๆ อะไรอย่างนี้นะครับ

แล้วพวกแกนนำก็เป็นพวกที่เหมือนกับว่าเราจับต้องได้น่ะ เหมือนเห็น อ๋อ เสกสรรค์ เออ อยู่ตรงนี้ อะไรอย่างนี้ใช่ไหมครับ มันก็ทำให้ความที่จะเชื่อเขา หรือทำตามเขา หรือเข้าร่วมกันเขานี่มันง่ายขึ้นเร็วขึ้นใช่ไหมครับ ถ้าเป็นคนนอกเหรอ เสกสรรค์เหรอ ใครก็ไม่รู้ เขาเป็นใครอะไรอย่างนี้ใช่ไหม อาจจะเข้าไม่ถึง หรืออาจจะยังไม่เชื่อว่าเขาเป็นยังไง แต่นี่เราได้เห็นตัวตนเขา เรารู้ว่าเขามายังไง อะไรยังไงใช่ไหมครับ เขาทำเพื่ออะไร ตามความเข้าใจของเราสมัยนั้นน่ะนะ

ผู้สัมภาษณ์ : แล้วอย่าง “ฉันจึงมาหาความหมาย” ของวิทยากร เชียงกูล นี่ได้อ่านไหมครับ? ได้เจอบ้างไหมครับ?
คุณสุวัฒน์ :
(หัวเราะ) ความจริงช่วงนั้นก็ไม่ได้อ่าน ไม่ค่อยได้อ่านหนังสือ เพราะว่าตำราเรียนยังไม่ค่อยได้อ่านเลย พวกนี้คงไม่ได้อ่าน คงจะรู้กับการที่ได้คุยกับเพื่อน หรือจากการที่เวลาเขามีไฮด์ปาร์กหรือปาฐกถาหรืออะไรอย่างนี้ก็ได้ฟังบ้าง

ผู้สัมภาษณ์ : อ๋อ
คุณสุวัฒน์ :
จริงๆ แล้วผมว่ามันไม่ได้โดยตรงแหละ อาจจะเป็นบรรยากาศแล้วก็การซึมซับ แล้วก็กระแสข่าวไปนะครับ

ผู้สัมภาษณ์ : ก็คือโดยส่วนตัวแล้วนี่ก็ยังไม่ได้เข้าร่วมขบวนการสักเท่าไหร่?
คุณสุวัฒน์ :
อ่า ตรงนั้นคงไม่ได้โดยตรงนะครับ

ผู้สัมภาษณ์ : ปี 2 ก็ยังไม่ได้เข้าร่วม?
คุณสุวัฒน์ :
อ่า ครับ

ผู้สัมภาษณ์ : ก็ใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ?
คุณสุวัฒน์ :
ครับ

ผู้สัมภาษณ์ : นอกจากเชียร์ในคณะแล้วนี่ ไปค่ายไปอะไรกับที่อื่นบ้างไหมครับ? กิจกรรมอื่น
คุณสุวัฒน์ :
ก็มีตอนจบปี 3 ก็ไปออกค่ายที่โคราช

ผู้สัมภาษณ์ : แล้วตอนปี 2?
คุณสุวัฒน์ :
ตอนปี 2 นี่ไม่ได้ทำอะไรครับ

ผู้สัมภาษณ์ : ก็ประคองตัวไป?
คุณสุวัฒน์ :
ครับผม ก็ปิดเทอมบางทีก็ต้องหางานทำบ้างอะไรบ้าง สำหรับเปิดเทอมหรือค่าหน่วยกิตอะไรประมาณนั้นครับ

ผู้สัมภาษณ์ : ทีนี้พอขึ้นปี 3 สถานการณ์เริ่มรุนแรงแล้ว
คุณสุวัฒน์ :
ใช่ๆ ก็เริ่มรับรู้มากขึ้นว่าทางฝ่ายรัฐบาล พวกนายพลทั้งหลายแหล่อะไรยังไง ก็รับรู้ข่าวสารมากขึ้นว่าเขาทำ... คล้ายๆ ว่ากดขี่ข่มเหงยังไง ไม่ยุติธรรมยังไง เสวยสุขยังไง อะไรประมาณนั้นน่ะนะครับ

ก็เป็นข่าวสาร อาจจะเป็นด้านเดียวน่ะนะ เพราะว่าก็เป็นธรรมศาสตร์ก็คงเหมือนกับอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลอยู่แล้ว ก็คงจะเอาข่าวสารทางด้านลบของทางฝ่ายรัฐบาล...

ผู้สัมภาษณ์ : อันนี้คืออะไรครับ? ข่าวสารนี่คือมาจากหนังสือพิมพ์หรือว่ามาจากไหนครับ?
คุณสุวัฒน์ :
ก็จากมีการพูดคุยกันนะครับ ก็คือจากความเคลื่อนไหวของทางแกนนำนักศึกษาทั้งหลายแหล่ ก็เริ่มมีการติดโปสเตอร์มากขึ้น ต่อต้านมากขึ้น ปาฐกถาเอยอะไรเอย ประมาณนี้น่ะนะครับ เราก็เริ่ม... มันก็ซึมๆ ซับๆ เข้าไปเรื่อยๆ

ผู้สัมภาษณ์ : พี่ได้เข้าร่วมฟังบ้างไหมครับ? ปาฐกถา
คุณสุวัฒน์ :
ก็บ้าง แต่ไม่มาก ส่วนใหญ่ก็จะเป็นโปสเตอร์อะไรมากกว่า แล้วก็คุยกับเพื่อน มีการจับกลุ่มคุยกันแหละว่า เฮ้ย กลุ่มนี้ สมัยนั้นเขาเรียกว่า “ทรราช” อะไรประมาณนี้นะครับ ว่ากดขี่ขมเหงยังไง แล้วก็เสวยสุขยังไง คอรัปชั่นเอาทั้งตระกูล จะทำให้ประเทศชาติมันล่มจมเสียหายอะไรประมาณนั้น

ผู้สัมภาษณ์ : ย้อนไปตอนปี ’14 นี่ถนอมก็ปฏิวัติตัวเองใช่ไหมครับ?
คุณสุวัฒน์ :
ผมจำไม่ได้

ผู้สัมภาษณ์ : ตอนนั้นนี่ก็คือยังไม่สนใจใช่ไหมครับ?
คุณสุวัฒน์ :
ใช่ๆ ยังไม่นั่น

ผู้สัมภาษณ์ : แต่ว่าพอขึ้นปี 3 นี่มันมากขึ้นแล้ว เริ่มรับรู้เรื่องนี้มากขึ้นใช่ไหมครับ?
คุณสุวัฒน์ :
ใช่ บางทีมันก็ไม่ได้มีผลกระทบต่อเราโดยตรงเท่าไหร่นะครับข้อหนึ่ง ข้อที่สองก็อย่างที่บอกไปคือเรื่องส่วนตัว ผมไม่มีเวลาไปสนใจพวกนั้นมากกว่าที่จะ เฮ้ย ทำยังไงถึงจะมีรายได้มาเลี้ยงตัวเอง เรียนหนังสือหรืออะไรแค่นั้น

ผู้สัมภาษณ์ : คือแสดงว่าบรรยากาศในช่วงนั้นนี่ นอกจากคนที่เป็นนักศึกษาที่ขับเคลื่อนจริงๆ นี่ คนอื่นๆ เขาจะรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องไกลตัวใช่ไหมครับ? เรื่องทหารที่เป็นอย่างนี้ ที่กดขี่อย่างจากข้อมูลที่ว่ามานี่ รู้สึกไกลตัวไหมครับ?
คุณสุวัฒน์ :
คือถ้าแบ่งเป็นส่วนๆ ภายในมหา’ลัย เองนี่นะครับ ผมคิดว่าก็คงจะเริ่มรับกันมากขึ้น ด้วยความปลุกเร้าของทางนักศึกษากันเอง สนนท.เอย อะไรประมาณนั้น ก็มีการรวมกัน สมัยนั้นมันมี อ.ม.ธ. – องค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แล้วจุฬาฯ เขาก็มีของเขา รู้สึกจะเป็นช่วงแรกที่เริ่มมารวมตัวกัน ทุกๆ สถาบันมารวมตัวกันเป็น สนนท. – สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย อะไรประมาณนั้น

ผู้สัมภาษณ์ : ศูนย์กลางฯ ช่วงนั้นยังเป็นศูนย์กลางฯ
คุณสุวัฒน์ :
อ้า เพื่อจะขับเคลื่อนไปในทางเดียวกัน เพราะจะทำให้อำนาจการต่อรองหรือเสียงมันดังขึ้นจากต่างคนต่างพูดอะไรประมาณนั้นใช่ไหมครับ ก็มีการพูดกันค่อนข้างเยอะนะครับ มีการพูดคุยกันหรือมีกิจกรรมอะไรต่างๆ

ผู้สัมภาษณ์ : ช่วงปี 3 นี่ก็เริ่มมีสถานการณ์คุกรุ่นขึ้น...
คุณสุวัฒน์ :
ครับ คุกรุ่นขึ้น

ผู้สัมภาษณ์ : ตอนนั้นนี่ได้เข้าร่วมไปบ้างแล้ว แล้วยังไงต่อครับ?
คุณสุวัฒน์ :
ก็รับรู้ข่าวสารมาตลอดนะครับ แล้วก็ได้ซึมซับบรรยากาศ ซึมซับข้อมูลอะไรไปเรื่อยๆ นะครับ จนกระทั่งจริงๆ แล้ววันที่ 7 ตุลา ผมกำลังไปสอบวันแรก ช่วงนั้นช่วงตุลาก็เป็นช่วงสอบภาคแรกพอดีนะครับ ผมจะไปสอบวันแรกก็ไปถึงที่คณะก็ปรากฏว่า... ตอนนั้นก็ได้รับทราบข่าวว่าพวกบรรดาอาจารย์ถูกจับไปหลายท่าน ที่มีอาจารย์ทวี หมื่นนิกร อะไรพวกนั้นนะครับ ถูกจับไป

แล้วก็วันที่ 7 ผมจะสอบ ก็ปรากฏว่าไปถึงคณะก็ห้องสอบโดยล็อค เอาโซ่คล้องไว้หมดเลย ใส่กุญแจ เข้าสอบไม่ได้ ทีนี้เข้าสอบไม่ได้เขาก็บอกให้ไปรวมตัวกันที่ลานโพธิ์อะไรประมาณนั้นใช่ไหมครับ เราก็ยังพะว้าพะวงเพราะว่าคนที่บอกมันก็ไม่ได้เป็นอาจารย์ใช่ไหมครับ ก็เลย เฮ้ย ถ้าผมไป เกิดเขาเปิดห้องให้สอบขึ้นมาจะทำยังไง เราก็ขาดสอบไปอะไรไปใช่ไหมครับ ก็พะว้าพะวงก็เลยไปไหนไม่ได้ ต้อง hang อยู่แถวๆ นั้น อยู่แถวๆ นั้น ก็เลยอยู่มาจนถึงวันที่ 13 คือ 7-13

ผู้สัมภาษณ์ : อ๋อ ก็คือวันที่ 7...
คุณสุวัฒน์ :
อ้า ครับ ก็อยู่นั่นเลย

ผู้สัมภาษณ์ : อยู่นั่นเลย?
คุณสุวัฒน์ :
อยู่เลย เพราะโดยปกติอย่างที่ทราบก็คือบางทีก็ไม่ค่อยได้กลับบ้านอยู่แล้ว บางทีก็นอนธรรมศาสตร์อยู่แล้วอะไรอย่างนั้น แต่ปีหลังๆ ก็ไม่ค่อยได้นอนแล้วน่ะนะครับ เพราะมีรุ่นน้องมา เขาทำทางด้านเชียร์เราก็ปล่อยให้เขาทำไป

ผู้สัมภาษณ์ : แล้วตอนนั้นไปอยู่ไหนครับ?
คุณสุวัฒน์ :
ก็อยู่บ้านที่ตรอกจันทร์

ผู้สัมภาษณ์ : ไม่ค่อยได้นอนแล้ว แต่ว่าพอเหตุการณ์นี้ก็เลยนอนเลย?
คุณสุวัฒน์ :
อ้า ก็เลยอยู่ที่นั่น เพราะถือว่าหนึ่งก็คือว่าก็เป็นถิ่นเราน่ะ พูดง่ายๆ ใช่ไหมครับ แล้วข้อสองก็ได้เห็นประชาชน เขาก็ร่วมด้วยเยอะ

ผู้สัมภาษณ์ : อืม
คุณสุวัฒน์ :
ก็เริ่มจากนักศึกษาใช่ไหมครับ ที่ธรรมศาสตร์ ที่ลานโพธิ์ แล้วก็เริ่มมีบุคคลภายนอก ประชาชนเข้ามาร่วมด้วย เห็นด้วยอย่างนี้ใช่ไหมครับก็เข้ามาฟังมาอะไรอย่างนี้ ก็เหมือนอยู่กันในนั้นตลอด นั่งๆ นอนๆ กันอยู่

ผู้สัมภาษณ์ : กิน อยู่ หลับ นอน ทำยังไงครับ?
คุณสุวัฒน์ :
อ้า ครับ ก็อยู่ตรงนั้นเลย

ผู้สัมภาษณ์ : นอนตรงไหนครับ?
คุณสุวัฒน์ :
ก็นั่งๆ หลับๆ เอาประมาณนั้นน่ะ อยู่ที่ลานโพธิ์นี่

ผู้สัมภาษณ์ : เขาก็มีกิจกรรมกันตลอดเวลา?
คุณสุวัฒน์ :
อ้า ก็จะมีเหมือนกับสมัยนี้ที่ทางพันธมิตร 24 ชั่วโมง นั่นแหละ เดี๋ยวนี้เขาออกอากาศด้วย

ผู้สัมภาษณ์ : อ๋อ แนวเดียวกัน?
คุณสุวัฒน์ :
ก็จะมีคนมา ก็ร้องเพลงบ้างอะไรบ้าง ก็ปลุกเร้าอยู่ตลอด ขึ้นมาพูดอะไร มาไฮด์ปาร์กอะไรกัน

ผู้สัมภาษณ์ : อย่างพี่นี่ก็คือไปร่วมนั่งฟังตรงนั้น?
คุณสุวัฒน์ :
ไปนั่งฟังเลยครับ ไปฟัง

ผู้สัมภาษณ์ : ไม่ได้เป็น Staff ไปโน่นไปนี่?
คุณสุวัฒน์ :
อ๋อ ไม่ๆ ครับ ก็ไปนั่งฟังเขานะครับ

ผู้สัมภาษณ์ : แล้วอาหารการกินล่ะครับ?
คุณสุวัฒน์ :
เขาก็มีให้

ผู้สัมภาษณ์ : คือฟรีใช่ไหมครับ?
คุณสุวัฒน์ :
อ้า ก็ฟรีน่ะ ก็คือมีคนให้ ประชาชนเริ่มมาบริจาค

ผู้สัมภาษณ์ : อ๋อ มีคนมาร่วมบริจาค?
คุณสุวัฒน์ :
ครับ ประชาชนให้เงินบ้าง ซื้อข้าวมาให้บ้างอะไรบ้าง

ผู้สัมภาษณ์ : แสดงว่ามีตั้งแต่สมัยนั้นนะครับ? (หัวเราะ)
คุณสุวัฒน์ :
อ้า ใช่ ก็ไม่ค่อยมีตังค์กินข้าวอยู่แล้ว ก็เลยถือโอกาส (หัวเราะ)

ผู้สัมภาษณ์ : (หัวเราะ)
คุณสุวัฒน์ :
เมื่อก่อนทำงานเชียร์แลกข้าว เดี๋ยวนี้นั่งฟังชุมนุมแลกข้าว

ผู้สัมภาษณ์ : (หัวเราะ) เขามีประกาศบนเวทีไหมครับว่า คนนี้มาบริจาคข้าวกี่กล่อง?
คุณสุวัฒน์ :
ก็มีครับ มี ก็มีบริษัทเอกชนบ้างอะไรบ้าง พวกนี้น่ะนะครับ ก็คงเป็นพวกไม่เห็นด้วยกับทางฝ่ายรัฐบาลที่ปกครองลักษณะนั้นนะครับ ก็อยู่มาเรื่อย แล้วพอดีเพื่อนเขาก็มีหอพักอยู่ตรงตรอกโรงไหม ตรงใกล้ๆ ท่าพระอาทิตย์ บางทีก็อาศัยมาอาบน้ำบ้างอะไรบ้าง มาพักตรงนั้น แต่ก็จะกลับไป ก็กลับไปร่วมชุมนุม

ก็จากบริเวณลานโพธิ์ที่มันคับแคบ แน่นขึ้น ไม่พอรองรับ ก็ย้ายมาอยู่สนามฟุตบอลในมหา’ลัยธรรมศาสตร์นะครับ ช่วงนั้นก็มีการ... เวลาชุมนุมเขาก็จะบอกว่า เฮ้ย เตรียมกันพร้อมกันนะ ตรงนี้อาจจะมีโดนลุยเข้ามาหรืออะไรอย่างนี้ ก็เป็นปลุกเร้ากันไปอะไรกันไปครับ

ผู้สัมภาษณ์ : แล้วช่วงที่อยู่นี่มีเหตุการณ์แปลกๆ มีคนมาป่วน มีอะไรไหมครับ?
คุณสุวัฒน์ :
มันก็ไม่มีนะ แต่มันก็จะมีในส่วนของที่ตรงตั้งแต่ลานโพธิ์แล้วก่อนที่จะย้ายมาสนามฟุตบอล จะมีการแสดงละครอะไรกัน แล้วที่จำได้คือที่จัดมีคนแขวนคอนักศึกษาคนหนึ่ง ที่หมายความว่าในการแสดง เสร็จแล้วหนังสือพิมพ์ก็มาตีข่าวกัน มาถ่ายรูปว่าคนนี้นี่หน้าตาเหมือนกับ...

ผู้สัมภาษณ์ : ฟ้าชาย
คุณสุวัฒน์ :
อ่า มันก็เลยเป็นเรื่องทำให้...

ผู้สัมภาษณ์ : เอ่อ ตอนแขวนคอนี่ ’16 หรือ ’19 ครับ? ผมไม่แน่ใจ
คุณสุวัฒน์ :
ถ้าจำไม่ผิดน่ะจะเป็น ’16 นะ

ผู้สัมภาษณ์ : ถ้าจำไม่ผิดนะครับ? โอเค ไม่เป็นไร
คุณสุวัฒน์ :
อ่า เพราะว่าหลังจากนั้นนี่ผมจบมาแล้ว 6 ตุลา ผมจะจบมาแล้ว แต่ก็ยังเข้าไปนิดหน่อย เพราะมีเพื่อนรุ่นเดียวกันซึ่งน้องก็เรียนอยู่ธรรมศาสตร์ ก็เป็นรุ่นน้อง หายตัวไปอะไรอย่างนี้ ก็ไปตระเวนดูตามหาน้องเพื่อนอยู่เหมือนกันนะครับ แต่ตอนนั้นก็ทำงานแล้วก็เลยไม่ได้ไปอะไรมากมาย

ผู้สัมภาษณ์ : ในห้วงที่เข้าไปนั่งฟังนั่งอะไรอย่างนี้ก็ปกติเลยใช่ไหมครับ? ตั้งแต่วันที่ 7-8-9-10-11-12-13
คุณสุวัฒน์ :
ครับ 7-8-9-10-11-12-13 ครับ

ผู้สัมภาษณ์ : โห อยู่ 7 วัน อาทิตย์หนึ่งเลยนะครับ
คุณสุวัฒน์ :
ครับ

ผู้สัมภาษณ์ : ไปนั่งกับใครครับ? นั่งคนเดียวหรือว่ามีเพื่อน?
คุณสุวัฒน์ :
ก็มีเพื่อน ก็หมุนเวียนกันไป เพราะเราเจ้าของที่อยู่แล้ว เดี๋ยวไปเจอเพื่อนโน้นเพื่อนนี้มาก็นั่ง ก็จะรู้กันว่า เออ อยู่ประมาณแถวๆ นี้อะไรอย่างนี้ หรือไม่พอเจอก็ทักทายอะไรกัน มานั่งฟังกันอะไรกัน

ผู้สัมภาษณ์ : ได้แลกเปลี่ยนกันบ้างไหมครับ?
คุณสุวัฒน์ :
ก็คุยกันแหละครับ ว่าสถานการณ์มันจะเป็นยังไง อะไรยังไงใช่ไหมครับ ก็เป็นห่วงเรื่องการเรียนของตัวเองด้วย ก็มันไม่ได้สอบจะทำยังไงน่ะใช่ไหมครับ มันจะมีผลกระทบอะไรกับทางด้านการเรียนเรามากน้อยขนาดไหนอะไรยังไงใช่ไหมครับ

ความจริงแล้วก็ตั้งใจจะอยู่ต่อไปเรื่อยๆ แต่บังเอิญวันที่ 14 นี่พอดีพี่สาวจะไปต่างประเทศ วันที่ 13 ก็ด้วยอารมณ์โกรธที่ว่า... เขาบอกจะดำเนินการมาตรการขั้นสุดท้าย ก็มีการเดินออกมาจากสนามฟุตบอลธรรมศาสตร์ ถ้าจำไม่ผิดประมาณเที่ยงหรือประมาณนี้ กลางวันนี่ แล้วก็มายึดอยู่ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย จอดอยู่แค่นั้น

ผู้สัมภาษณ์ : อืม
คุณสุวัฒน์ :
ด้วยความที่ เฮ้ย อะไรวะ แค่นี้เองเหรอ มาตรการขั้นเด็ดขาดนี่

ผู้สัมภาษณ์ : (หัวเราะ)
คุณสุวัฒน์ :
เราไม่ได้เป็นแกนนำ เราก็ไม่รู้ว่าเขามีแผนการต่อไปยังไง อะไรยังไงใช่ไหมครับ แต่เท่าที่จำได้ตอนนั้นก็คนเต็ม เยอะนะครับ เดินออกจากธรรมศาสตร์ถึงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย มองไปก็มีแต่คนทั้งนั้นตลอด ถ้ามองย้อนไปนะครับ

ผู้สัมภาษณ์ : ครับ
คุณสุวัฒน์ :
ด้วย 2 เหตุผลน่ะนะ ก็คือที่รับรู้มาก็จะมีแนวหน้าถือธงถืออะไรไป แล้วเขาบอกเจอพวกสุนัขตำรวจอะไรพวกนั้นน่ะนะครับ ที่ทางฝ่ายรัฐบาลเอามาทำลายขบวนอะไรประมาณนั้น เขาบอกให้เตรียมพริกไทย เกิดสุนัขตำรวจมาก็เอาพริกไทยโรยใส่อะไรไปประมาณนั้น ก็เดินมาถึงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยแล้วก็หยุดอยู่แค่นั้น ก็เลยด้วย 2 เหตุผล คือหนึ่งอย่างที่บอกว่า เฮ้ย อะไรวะ แค่นี้เองเหรอ มันไม่สะใจ มันไม่มันส์ใช่ไหม

ผู้สัมภาษณ์ : อารมณ์ค้าง (หัวเราะ)
คุณสุวัฒน์ :
อ่า มันอะไรวะ ใช่ไหม กะลุยเต็มที่อะไรอย่างนี้ เหตุผลที่สองก็คือพอดีพี่สาวจะไปต่างประเทศด้วยใช่ไหมครับ ก็เลยกลับบ้าน วันรุ่งเช้าไปส่งพี่สาวก็ได้ฟังข่าวทางวิทยุว่า เมื่อคืนนี้มีเหตุการณ์เกิดขึ้นแล้วอะไรแล้วประมาณนั้นใช่ไหมครับ

ผู้สัมภาษณ์ : แล้วทำยังไง?
คุณสุวัฒน์ :
ก็พ่อแม่ก็เลยล็อคตัว

ผู้สัมภาษณ์ : อ๋อ
คุณสุวัฒน์ :
อ่า ผมก็เลยจบแค่นั้นน่ะ ถูกล็อคตัวไว้ก็เลยกลับไปร่วมกับเขาไม่ได้นะครับ แล้วก็เหตุการณ์มันรุนแรงขนาดนั้นด้วยใช่ไหมครับ อาจจะไม่คุ้ม แล้วถ้าจะไปมันไม่เหมือนสมัยนี้ ถ้ามีมือถือ เฮ้ย มึงอยู่ไหน อะไรยังตามไปสมทบกันได้ หรือไปก็ไม่รู้จะไปตรงไหน ไปทำอะไรยังไงอย่างนี้ใช่ไหมครับ มันก็เลยไม่ได้ไป

ผู้สัมภาษณ์ : ก็เลยตามข่าว?
คุณสุวัฒน์ :
อ้า ก็เลยตามฟังข่าวทางวิทยุ ทางหนังสือพิมพ์อะไร

ผู้สัมภาษณ์ : แล้วหลังจากนั้นเป็นยังไงบ้างครับ? คิดว่าเหตุการณ์มันเปลี่ยนแปลง มันพลิกผัน มันอะไรมากน้อยแค่ไหน?
คุณสุวัฒน์ :
มันก็รู้สึกเหมือนกับว่า โอเค เราก็ได้ชัยชนะนะครับ ทางฝ่ายนั้นก็หนีออกนอกประเทศไปอะไรไป ก็มี 2 อารมณ์ คือหนึ่งก็คือ โอเค รู้สึกถึงชัยชนะนะครับ อารมณ์ที่สองก็คือเรื่องความสูญเสีย ที่จนทุกวันนี้ผมก็ไม่รู้ว่าความจริงมันเป็นยังไง เพราะว่าก็โดนปิดข่าวอะไรกัน แต่เท่าที่รู้นี่มันก็สูญเสียกันไป เสียชีวิตกันไปหลายคนนะครับ ถึงขนาดว่าเอา ฮ.มาบินร่อนรอบสนามหลวง แล้วก็เอากระสุนจริงยิงลงมาอะไรประมาณนั้นนะครับ

ผู้สัมภาษณ์ : ครับ
คุณสุวัฒน์ :
แต่ภาพข่าวที่พอเห็นอะไรนั่น ก็พอเห็นล่ะว่ามีคนเสียชีวิต มีอะไร แต่พอดีอย่างที่บอกก็คือพี่สาวไปต่างประเทศ แล้วเขาก็ไปเห็นข่าวในหนังสือพิมพ์ต่างประเทศนี่ เขาก็เห็นเลยว่า โห มันเยอะน่ะใช่ไหมครับ คนที่เสียชีวิต แม้แต่ต้นมะขามสนามหลวงนี่ยังเอามาแขวนกัน แล้วก็ทำลาย ทำร้าย แล้วก็ตีกัน ตายแล้วอะไรอย่างนี้ก็ยังนั่นกันนี่ ผมก็ไม่รู้... ช่วงนั้นก็ยังมีพวก “กระทิงแดง” ไง

ผู้สัมภาษณ์ : อืม
คุณสุวัฒน์ :
กลุ่ม “กระทิงแดง” ก็เป็นพวกได้รับสนับสนุนจากทางการ เป็นพวกนักเรียนช่างกลอะไรอย่างนี้ ซึ่งช่วงนั้นก็พอๆ กับช่วงนี้ ที่ปทุมวันกับอุเทนถวายนี่ก็ โห ประจำใช่ไหมครับ

ผู้สัมภาษณ์ : (หัวเราะ) แล้วพอปี 4 นี่กลับมาเรียนตามปกติ?
คุณสุวัฒน์ :
ครับ

ผู้สัมภาษณ์ : พี่ว่าธรรมศาสตร์เปลี่ยนไปไหมครับ? ในมุมมองปี 4
คุณสุวัฒน์ :
ในความรู้สึกน่ะนะครับ มันก็รู้สึกภูมิใจมากขึ้นตรงที่เหมือนกับว่าเราก็เป็นส่วนหนึ่ง หมายความว่าธรรมศาสตร์นะ ไม่ใช่ตัวผมเอง เป็นส่วนหนึ่งในการที่เป็นตัวตั้งตัวตีในการที่จะทำให้ทุกอย่างมันมีความยุติธรรมมากขึ้น ไม่ใช่โดนกดขี่โดยฝ่ายปกครองโดยที่ไม่มีสิทธิ์กระทำอะไรเลย มันจะทำอะไรก็ต้องยอมเขาอะไรประมาณนั้นใช่ไหมครับ

ก็รู้สึกถึงกลิ่นไอของชัยชนะ กลิ่นไอของประชาธิปไตยที่มากขึ้นนะครับ

ผู้สัมภาษณ์ : แล้วสังเกตไหมครับว่า... คือช่วงนั้นมันจะมีชาวบ้านไปที่ธรรมศาสตร์บ่อย บางคนบอกว่าเหมือนกับเป็นที่ว่าการอำเภอเลย ชาวบ้านไปร้องทุกข์อะไรอย่างนี้ สังเกตบ้างไหมครับช่วงนั้น?
คุณสุวัฒน์ :
ก็ได้รับข่าวเหมือนกันนะครับ ก็ไปคุยกับทาง สนนท. เขาประมาณนั้น ไปคุยกับทางโน้น

ผู้สัมภาษณ์ : ตอนนั้นพี่ปี 4 นี่ทำอะไรบ้างหรือยังครับ?
คุณสุวัฒน์ :
ความจริงปี 4 วิชาเรียนก็น้อยลงแล้วนะครับ ก็เลยไม่ค่อยได้มีอะไรมากมาย เตรียมตัว...

ผู้สัมภาษณ์ : กิจกรรมก็ไม่ได้...?
คุณสุวัฒน์ :
ใช่ ก็เริ่มลดลงอะไรลง เพราะว่าเตรียมตัวว่า เฮ้ย จะจบแล้วจะต้องทำอะไรยังไงต่อไปกับชีวิตใช่ไหม

ผู้สัมภาษณ์ : ครับ แล้วเห็นตอนปลายปี 3 นี่ไปค่าย Rotaract
คุณสุวัฒน์ :
ครับ

ผู้สัมภาษณ์ : ที่ไหนครับ?
คุณสุวัฒน์ :
ที่โคราช

ผู้สัมภาษณ์ : เป็นค่ายเกี่ยวกับอะไรครับ?
คุณสุวัฒน์ :
คือปีนั้นเป็นปีแรกที่ทาง Rotaract ธรรมศาสตร์ไปออกค่าย มันก็เป็นช่วงสั้นๆ ที่เราตั้งโครงการมาค่อนข้างกะทันหันอะไรอย่างนี้ ก็เลย...

ผู้สัมภาษณ์ : เป็นคนทำใช่ไหมครับ?
คุณสุวัฒน์ :
ครับ ก็ไปด้วย ก็มันเริ่มจากหาทุนไง มันต้องหาทุนก่อนอะไรด้วยอย่างนี้ใช่ไหมครับ ก็ได้ทุนมาไม่มากเท่าไหร่ ก็เลยไปต่อเติม... ห้องเรียนนี่เขาทำเสา ทำตอม่ออะไรไว้เรียบร้อยแล้ว เราก็ไปต่อเติมเป็นอาคารขึ้นมา 2 ห้อง เขามีอยู่แล้วประมาณ 6 ห้อง ก็ไปต่อให้เสร็จอีก 2 ห้อง ก็ไปอยู่เดือนหนึ่งครับ

ผู้สัมภาษณ์ : อืม ตอนนี้ก็จะเป็นหลังเหตุการณ์ แล้วพอปี 4 ก็ใช้ชีวิตปกติ?
คุณสุวัฒน์ :
ก็ปกติครับ เรียนปกติ ตอนนั้นพอดีย้ายมาอยู่ที่วัดตะกล่ำ

ผู้สัมภาษณ์ : อะไรนะครับ?
คุณสุวัฒน์ :
ย้ายมาอยู่ที่วัดตะกล่ำตรงซอยอุดมสุขนี่

ผู้สัมภาษณ์ : หมายถึงว่าย้ายที่...?
คุณสุวัฒน์ :
บ้าน

ผู้สัมภาษณ์ : ย้ายบ้าน อ๋อ
คุณสุวัฒน์ :
พอดีอย่างพี่สาวจบแล้ว เราก็ฐานะเริ่มดีขึ้น ก็มาซื้อหมู่บ้านจัดสรร ตอนนั้นบ้านแฝด 2 ชั้น ที่ 60 ตารางวา ก็ตกแสนเก้าเก้า

ผู้สัมภาษณ์ : อ๋อ ไม่ถึงล้าน
คุณสุวัฒน์ :
ราวแสนเก้าเก้า ไม่ถึง 2 แสนด้วย

ผู้สัมภาษณ์ : (หัวเราะ)
คุณสุวัฒน์ :
ดาวน์ 10% ก็หมื่นเก้า รวมค่ามิเตอร์น้ำ-มิเตอร์ไฟ สองหมื่นห้าก็ move in ได้เลย

ผู้สัมภาษณ์ : อืม สมัยโน้นทางนี้มันยังไม่เจริญใช่ไหมครับ?
คุณสุวัฒน์ :
ใช่

ผู้สัมภาษณ์ : อีกนิดเดียวนะครับ (หัวเราะ) ถ้าในมุมมองคิดว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นนี่ โดยการวิเคราะห์นี่พี่คิดว่าเหตุการณ์นั้นมีใครอยู่เบื้องหลังอะไรยังไงหรือเปล่า? หรือว่ามันเป็นไปเองโดยอัตโนมัติ?เพราะว่ามันมีอยู่ช่วงหนึ่งที่เขาบอกว่าความจริงแล้วแกนนำวันที่ 14 คือเย็น 13 หรือยังไงนี่แหละ แกนนำกับทหารนี่คุยกันเรียบร้อยแล้ว แล้วพอดีเช้ามืดวันที่ 14 นี่เกิดมีการปะทันกัน ก็เลยไม่รู้ว่า...
คุณสุวัฒน์ :
อืม อันนี้ผมไม่ทราบข้อมูลทั้งนั้น ไม่ทราบครับ ในมุมมองผมแล้วผมคิดว่าตกลงกันเรียบร้อย เราไม่รู้ว่าตกลงอะไรกันยังไงใช่ไหมครับ สมมติว่าถ้าตกลงในลักษณะที่ว่ามันไม่เป็นที่พอใจของผู้ชุมนุม ผมคิดว่ามันก็คงไม่จบ

ผู้สัมภาษณ์ : ไม่จบ
คุณสุวัฒน์ :
ไม่จบ เพราะว่าพวกที่ไปตกลงเอง ผมก็ไม่แน่ใจว่ามีสิทธิ์ขาดยังไงใช่ไหมครับหนึ่ง แล้วสองก็อาจจะเป็นรุ่น 2 รุ่น 3 อะไรแบบสมัยนี้ใช่ไหมครับ เห็นด้วยหรือไม่อะไรยังไงใช่ไหม ถ้าเผื่อว่ารุ่นแรกได้ตกลงกันแล้ว รุ่น2 รุ่น 3 ไม่เห็นด้วย รุ่น2 รุ่น 3 ก็อาจจะปลุกกระแสขึ้นมาใหม่ใช่ไหมครับ

ผู้สัมภาษณ์ : ครับ
คุณสุวัฒน์ :
แต่นาทีนั้นผมคิดว่ายังไงๆ มันคงคุยกันไม่รู้เรื่องหรอก ไม่น่าจะคุยกันรู้เรื่อง เพราะมันคนละขั้ว ตกลงยังไงก็ไม่มีทาง แต่ก็แปลกใจเหมือนกันว่าพวกแกนนำสมัยนั้น ปัจจุบันนี้ก็มาอยู่ในคณะรัฐมนตรีกันหลายคนจริงๆ

ผู้สัมภาษณ์ : (หัวเราะ) ใช่ครับ
คุณสุวัฒน์ :
อืม

ผู้สัมภาษณ์ : คำถามสุดท้ายแล้วครับ ก็คือหลังเหตุการณ์นี่มันมีผลกระทบอะไรครับ? คือเมื่อกี้ผมถามไปแล้วเรื่องทางสังคม ก็คือหมายถึงธรรมศาสตร์เป็นยังไง เมื่อกี้ตอบไปแล้ว
คุณสุวัฒน์ :
ครับ

ผู้สัมภาษณ์ : แต่นี่เหลือเรื่องส่วนตัวครับ ว่ากระทบกับเราไหม? ยังไงครับ? หนึ่งนะครับ แล้วก็ครอบครัว ทางครอบครัวเขาห้ามเรามากขึ้นไหม? เขาเฝ้าระวังเราไหม? อะไรยังไงครับ
คุณสุวัฒน์ :
ในส่วนของครอบครัวก่อนแล้วกันนะครับ ส่วนของครอบครัวนี่ก็เป็นลักษณะแบบว่าผมค่อนข้างที่จะ... อย่างที่บอกก็คืออิสระเต็มที่อยู่แล้วใช่ไหมครับ กลับบ้านบ้าง ไม่กลับบ้านบ้างอะไรอย่างนี้ ก็ช่วงนั้นถ้ารับผิดชอบเรียนจบมาได้ ทางพ่อแม่ก็คงสบายใจไปเปลาะหนึ่งแล้ว เลิกเป็นห่วงเราอะไรต่างๆ นะครับ

ส่วนทางด้านอื่นนี่ ผลกระทบเห็นๆ เลย โอเค ผมจบมาผมก็ไปทำงานที่การบินไทย ซึ่งการบินไทยนี่ก็อย่างที่รู้ว่าสมัยนั้นก็ประมาณ... ลูกท่านหลานเธอทั้งนั้นน่ะพูดง่ายๆ ใช่ไหมครับ เข้าไปพอเขารู้ว่าเราจบจากธรรมศาสตร์จากอะไรอย่างนี้ ผ่าน 14 ตุลา อะไรมาพวกนี้ ก็จะมองเราแบบแปลกๆ

ผู้สัมภาษณ์ : แบบแปลกๆ นี่คือบวกหรือลบครับ?
คุณสุวัฒน์ :
ลบๆ

ผู้สัมภาษณ์ : ลบ (หัวเราะ) ครับ
คุณสุวัฒน์ :
ซึ่งเคยเจอเลยน่ะ ผมก็ด้วยความที่ไฟแรง จบมาธรรมศาสตร์มาด้วยอะไรด้วย ไม่ได้ว่า หยิ่งเว้ยกู จบปริญญาตรีมหาวิทยาลัยน่ะนะ แต่ด้วยความมีเลือดธรรมศาสตร์ ก็ไปเจอพวกไฮโซน่ะ พวกลูกท่านหลานเธออย่างนี้ เขาก็มองเราแปลกๆ เหมือนกับเราเป็นหัวเอียงซ้ายอะไรอย่างนี้ใช่ไหม ผมพูดกับเขาเลยนะว่า จุดกึ่งกลางอยู่ตรงนี้ ผมอาจจะอยู่ตรงนี้อาจไม่ถึงซ้ายด้วยซ้ำ แต่พี่น่ะมันอยู่ตรงนี้ ขวาสุดกู่ มองมาทางซ้ายทีไรก็เจอผมทุกที อย่างนี้น่ะครับ

ผู้สัมภาษณ์ : (หัวเราะ) เข้าใจครับ
คุณสุวัฒน์ :
ก็ โอเค อาจจะด้วยนิสัยส่วนตัวด้วยอะไรด้วยนะครับ เราก็ได้รับการสั่งสอนอบรมมาว่าอย่าเกลียด อะไรอย่างนี้ใช่ไหมครับ มันก็ทำให้เราไม่ใช่ว่าก้าวร้าวถึงขนาดนั้น

ผู้สัมภาษณ์ : ครับ
คุณสุวัฒน์ :
ก็อย่างที่ผมบอกตอนต้นว่า สมัยผมอยู่ต่างจังหวัดกับอยู่กรุงเทพฯ นี่ต่างกันเยอะมากเลย เพราะต้องอยู่ตัวคนเดียวต้องอะไรอย่างนี้ใช่ไหมครับ รับผิดชอบ มันก็เลยทำให้ต้องแกร่ง ต้องกร้าว ต้องกล้าไปโดยปริยาย เพราะไม่อย่างนั้นอยู่ไม่ได้ใช่ไหมครับ

ผู้สัมภาษณ์ : ครับ
คุณสุวัฒน์ :
ก็โอเค โชคดีไปอยู่ธรรมศาสตร์มา ก็หลายอย่าง ซึมซับอะไรมาหลายอย่าง ผ่านเหตุการณ์พวกนั้นด้วยอะไรด้วยนะครับ ตอนนั้นพอมาทำงานมันก็เลยยังติดอยู่ ทุกอย่างก็เลยยังติดอยู่นะครับ ก็ทำให้บางทีก็วางตัวลำบากเหมือนกัน ต้องไปอยู่ในสังคมของการบินไทย คือเป็นพวก...

ผู้สัมภาษณ์ : ทำนานไหมครับ?
คุณสุวัฒน์ :
ย้อนไป ก็เหมือนๆ กับตอนเข้าเซนต์คาเบรียลใหม่ๆ คือ apply กันน่ะนะ ก็อยู่ 4 ปีครับ

ผู้สัมภาษณ์ : 4 ปีก็ออกมา?
คุณสุวัฒน์ :
ก็ออกมา ก็ยังเหมือนเดิม ความคิดความอ่านตอนนั้นก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงอะไรมากมายเท่าไหร่ ดูแล้วมัน เฮ้ย ผมเข้าไปนี่อาจจะเหมือนกันอีกน่ะ เหมือนกับสอบเอนทรานซ์เข้ามหา’ลัย อีก ตอนเข้าการบินไทย ก็ไปสอบแล้วได้ติด stand by อันดับหนึ่ง รออยู่ครึ่งปีมั้ง

ผู้สัมภาษณ์ : อันดับหนึ่งนี่นะครับ?
คุณสุวัฒน์ :
Stand by คนที่ได้ไปนี่ก็คือเส้นเอาอะไรอย่างนี้ ผมไม่มีเส้นไม่มีอะไร ก็ได้สำรองอันดับหนึ่ง หกเดือนหลังจากนั้นตำแหน่งนี้ว่างอีก เขาก็ขี้เกียจจะจัดสอบใหม่ก็เลยเรียกสำรองอันดับหนึ่งมา ผมก็เลยได้ไปโดยปริยาย ซึ่งตอนไปสอบครั้งแรกนี่ โอ้โห แม่ง ปริญญาโทมาจากฟิลิปปินส์โว้ย จบมาจากเมืองนอกโว้ย มีนามสกุลแม่งดังๆ ทั้งนั้นเลยอย่างนี้ โห แล้วกูจะได้เหรอวะเนี่ย

ก็เป็นความโชคดี แต่ก็พอเข้าไป 3-4 ปี แล้วก็มีความรู้สึกว่ามันไม่ใช่ หนึ่ง เข้าไปไม่มีเส้น เราทำดีก็ไม่มีใครส่งเสริม เราทำผิดก็ไม่มีใครคอยมาคุ้มครองให้เรา ก็ดูแล้วคิดว่าอยู่ต่อไปก็คงจะไม่ไหว ก็คงก้าวหน้าลำบาก ก็เลยตัดสินใจออกมา

มันหลายเรื่องน่ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงนั้นก็มีเพื่อนร่วมงานในแผนกมาทำก็ มึงไม่ได้เก่งกว่ากูเลย แต่ตำแหน่งมึงสูงกว่ากู เงินเดือนมึงดีกว่ากู แล้วก็แบบอะไรอย่างนี้

ผู้สัมภาษณ์ : (หัวเราะ) อ่า ครับ
คุณสุวัฒน์ :
สมัยนั้น แค่นามสกุล เอาง่ายๆ หรือคือลองมาดูแล้วนามสกุลกู มันก็ไม่มีใครรู้จัก เส้นก็ไม่มีอะไร แต่ด้วยความที่เราทำงาน เราก็ทำจริงอะไรอย่างนี้ ความจริง 4 ปี ผม 4 ปี 3 แผนก ด้วยความที่...

ผู้สัมภาษณ์ : อืม ย้าย (หัวเราะ)
คุณสุวัฒน์ :
เออ เขาก็เห็น เฮ้ย ดึงตัวไปๆ อะไรอย่างนี้ ความจริงผมก็ไปสมัครตำแหน่ง... คือเราไปสมัครนี่เรา... คือเขา Required แค่ ม.ศ.5 แต่เอาปริญญาตรีไปสมัคร คล้ายกับว่ามัน Back Start ดูแล้ว โห มันอีกไกลว่ะ แล้วเราจะข้ามก้าวกระโดดก็ลำบาก ความจริงด้วยปริญญาตรีนี่สามารถเป็นตำแหน่ง Supervisor ได้เลย

ผู้สัมภาษณ์ : ครับ
คุณสุวัฒน์ :
แต่ผมเข้าไปในตำแหน่ง Clerk ธรรมดาพวกนี้ มันมี Clerk, Senior Clerk, Supervisor ใช่ไหม

ผู้สัมภาษณ์ : ครับ
คุณสุวัฒน์ :
ก็เข้าไปก่อน นึกว่า เออ เข้าไปก่อน เดี๋ยวค่อยหาอีกที แต่พอเข้าไปจริงๆ แล้วจะโดดมันก็ไม่ง่ายอีก

ผู้สัมภาษณ์ : ยาก
คุณสุวัฒน์ :
ไม่ง่าย เอ้า ประกาศรับสมัครตำแหน่งนี้เป็นการภายใน คุณวุฒิเป็นยังไง Qualification จบการศึกษามาอย่างนี้ สอบโน่นสอบนี่ ผมก็เป็นหนึ่งในสองคนที่เข้ารอบสุดท้าย พอถึงเวลาขึ้นมาเขาเลือก เขาก็เลือกคนที่มีเส้นมีอะไรอย่างนี้ ผมก็เลย อ๋อ อย่างนี้คงยาก

ผู้สัมภาษณ์ : ก็เลยออกดีกว่า? (หัวเราะ)
คุณสุวัฒน์ :
อืม แต่ถ้าคิดไปจริงๆ ถามว่าเสียใจไหม นาทีนี้เสียใจนะที่ได้ลาออก ถ้าอยู่ป่านนี้ก็สบาย คือตอนนั้นก็เหมือนเดิมกับที่สอบเข้ามหา’ลัย อีกก็คือ ไม่รู้ว่ารัฐวิสาหกิจคืออะไร คือไม่รู้เรื่องน่ะเอาง่ายๆ จะไปโทษคนอื่นก็ไม่ได้ ผมคงต้องโทษตัวเองที่ไม่รู้จัก

ผู้สัมภาษณ์ : (หัวเราะ)
คุณสุวัฒน์ :
ไม่มีคนให้คำแนะนำ คำปรึกษา พูดง่ายๆ ไม่รู้ว่ารัฐวิสาหกิจมันเป็นยังไง มีสวัสดิการ มีเงินสะสม มีอะไรอย่างนี้ ตอนนั้นก็เงินเดือนอย่างเดียวใช่ไหมครับ

ผู้สัมภาษณ์ : อืม ครับ
คุณสุวัฒน์ :
เด็กๆ ด้วยอะไรด้วยไง ไม่มีใครแนะนำด้วยอะไรด้วย ก็เสียดายโอกาสเหมือนกัน ถ้าอยู่จนป่านนี้ก็พอก๊อกแก๊กมาได้เรื่อยๆ มันก็คง...

ผู้สัมภาษณ์ : เยอะๆ (หัวเราะ)
คุณสุวัฒน์ :
ใช่ เกษียณมาแล้วมีเงินสะสมมีอะไรใช่ไหม

ผู้สัมภาษณ์ : ครับ ก็โอเคครับ ผมรบกวนเวลามากเลยครับ
คุณสุวัฒน์ :
ยินดีครับ ยินดี

จบการสัมภาษณ์